บทความล่าสุด MetalMate
บทความทั้งหมด
ในอุตสาหกรรมเหล็ก การกำหนดมาตรฐานเป็นสิ่งสำคัญอย่างยิ่งเพื่อให้มั่นใจว่าผลิตภัณฑ์มีคุณภาพเหมาะสม ซึ่งมาตรฐานเหล่านี้ทำหน้าที่เป็นแนวทางในการผลิต ควบคุมคุณภาพ และช่วยให้ผู้ใช้งานสามารถเลือกเหล็กที่เหมาะสมกับประเภทงานได้ถูกต้อง มาตรฐานเหล็กที่สำคัญมีอะไรบ้างนั้นไปทำความรู้จักกันเลย

AISI (American Iron and Steel Institute): เป็นมาตรฐานของสหรัฐอเมริกาที่ใช้รหัสตัวอักษรและตัวเลข 4 หลักร่วมกัน เช่น AISI A4320 โดยตัวอักษรตัวแรก(A)จะบอกวิธีการผลิต เช่น
-
- A: เหล็กประสมที่ผลิตจากเตาเบสเซมเมอร์ชนิดที่เป็นด่าง
- C: เหล็กที่ผลิตจากเตาโอเพนฮาร์ทชนิดที่เป็นด่าง
- E: เหล็กที่ผลิตจากเตาไฟฟ้า

ASTM (American Society for Testing and Material): เป็นมาตรฐานที่ได้รับความนิยมในอุตสาหกรรม ตัวอย่างระบบ เช่น ASTM A615 M-14 ซึ่งแต่ละส่วนมีความหมายดังนี้
-
- A: บ่งบอกว่าเป็นโลหะเหล็ก
- 615: ประเภทของเหล็ก
- M: แสดงหน่วยการวัดแบบ SI (ระบบเมตริก)
- 14: คือปีที่ข้อกำหนดมาตรฐานฉบับนั้นถูกประกาศ

JIS (Japanese Industrial Standards): เป็นมาตรฐานเหล็กของประเทศญี่ปุ่นที่ทั่วโลกให้การยอมรับ เนื่องจากญี่ปุ่นเป็นผู้นำด้านเทคโนโลยีการผลิตเหล็ก ทำให้ผลิตภัณฑ์เหล็กที่ได้มาตรฐาน JIS เป็นที่ต้องการในตลาดสากลอย่างมาก

DIN (Deutsch Institute Norms): เป็นมาตรฐานเหล็กจากประเทศเยอรมนีที่มีความเข้มงวดและได้รับความนิยมไม่แพ้มาตรฐานของอเมริกา มาตรฐาน DIN แบ่งประเภทของเหล็กออกเป็น 6 กลุ่มหลัก ได้แก่ เหล็กกล้าคาร์บอน (หรือเหล็กไม่ประสม), เหล็กกล้าผสมต่ำ, เหล็กกล้าผสมสูง, เหล็กหล่อ และอื่น ๆ ซึ่งเหล็กเหล่านี้ถูกนำไปใช้ในอุตสาหกรรมต่าง ๆ มากมาย เช่นเดียวกับเหล็กเกรด SS400 ในประเทศไทย

TIS (Thai Industrial Standards): หรือ มาตรฐานผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรม (มอก.)ของไทย โดยสำนักงานมาตรฐานผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรม (สมอ.) กำหนดไว้เพื่อเป็นแนวทางให้ผู้ผลิตในประเทศไทยผลิตสินค้าที่มีคุณภาพเหมาะสมกับการใช้งาน คู่มือ มอก. แต่ละเล่มจะระบุรายละเอียด คุณสมบัติ และวิธีการทดสอบไว้ เพื่อให้มั่นใจว่าสินค้าที่ได้รับเครื่องหมาย มอก. มีคุณภาพตามที่กำหนด
ดังนั้น ไม่ว่าจะเป็นผู้ผลิต ผู้รับเหมา หรือเจ้าของโครงการ การทำความเข้าใจและให้ความสำคัญกับมาตรฐานเหล็กจึงเป็นสิ่งที่ไม่ควรมองข้าม เพราะท้ายที่สุดแล้ว การเลือกใช้วัสดุที่ได้มาตรฐานคือการสร้างความมั่นคงและความปลอดภัยให้กับชีวิตและทรัพย์สินอย่างยั่งยืน 👌
ในยุคที่อุตสาหกรรมก่อสร้างเติบโตอย่างรวดเร็ว เหล็กเส้น หรือ เหล็กเสริมคอนกรีต กลายเป็นวัสดุสำคัญที่ขาดไม่ได้ อย่างไรก็ตาม ความต้องการที่สูงขึ้นก็เปิดช่องให้เกิดปัญหา "เหล็กเบา" ที่ไม่ได้มาตรฐาน ซึ่งเป็นภัยเงียบที่ส่งผลกระทบโดยตรงต่อความแข็งแรงและความปลอดภัยของโครงสร้าง
เหล็กเต็มคืออะไร? ⁉️
เหล็กเต็ม คือ เหล็กที่ผลิตและผ่านการตรวจสอบตามมาตรฐานที่กำหนดโดย สำนักงานมาตรฐานผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรม (สมอ.) หรือที่เรียกว่า "มาตรฐาน มอก." มาตรฐานนี้ครอบคลุมรายละเอียดสำคัญต่าง ๆ เช่น น้ำหนัก ขนาด ความหนา ความยาว และส่วนผสมทางเคมี ที่ต้องมีความแม่นยำสูง เหล็กเต็มจึงเป็นเหล็กที่มีคุณภาพสูง แข็งแรง ทนทาน และสามารถรับน้ำหนักได้ตามที่วิศวกรออกแบบไว้ เหมาะสำหรับใช้เป็นโครงสร้างหลักของอาคารบ้านเรือน
ทำไมเหล็กเบาถึงยังคงมีอยู่ในตลาด 🤔
เหล็กปลอมหรือเหล็กเบา คือ เหล็กที่ผลิตโดยไม่ได้ควบคุมคุณภาพตามมาตรฐาน มอก. ทำให้มีขนาดและน้ำหนักเบากว่าเหล็กเต็ม และมีความแข็งแรงต่ำกว่ามาก บางครั้งอาจมีการปลอมแปลงเครื่องหมายมอก. เพื่อหลอกลวงผู้บริโภค สาเหตุหลักที่เหล็กเหล่านี้ยังคงมีอยู่ในตลาดก็คือ ต้นทุนที่ต่ำกว่า ทำให้ผู้ผลิตบางรายเลือกที่จะลดขั้นตอนการผลิตเพื่อลดค่าใช้จ่าย และผู้บริโภคบางส่วนที่เน้นเรื่องราคาเป็นหลักอาจตกเป็นเหยื่อโดยไม่รู้ตัว
อันตรายที่อาจเกิดขึ้นจากการใช้เหล็กเบา 🚨
แม้เหล็กเบาจะดูคล้ายกับเหล็กคุณภาพดี แต่ความแตกต่างด้านความแข็งแรงสามารถนำไปสู่อันตรายร้ายแรงได้ เช่น
- อาจเกิดการแตกร้าวหรือพังถล่มได้ในระยะยาว
- โครงสร้างไม่ทนทานเท่าที่ควร ทำให้ต้องซ่อมแซมบ่อยครั้ง
- เพิ่มความเสี่ยงต่อชีวิตและทรัพย์สิน
แล้วเราสามารถตรวจสอบเหล็กเบื้องต้นได้ด้วยตัวเองหรือไม่ ?
การเลือกใช้เหล็กที่ได้มาตรฐานตั้งแต่เริ่มต้นจะช่วยลดความเสี่ยงได้มาก โดยสามารถตรวจสอบเบื้องต้นได้ง่ายๆ 3 วิธีดังนี้
1.สังเกตเครื่องหมาย มอก. และเอกสารรับรอง
- ดูจากใบกำกับเหล็ก: ใบกำกับเหล็กจะระบุรายละเอียดครบถ้วน ทั้งเครื่องหมาย มอก., ขนาด, ชนิด และน้ำหนัก
- ตรวจสอบจากเนื้อเหล็ก: เหล็กเต็มจะมีเครื่องหมาย มอก. ชื่อแบรนด์ และรหัสประจำสินค้าประทับอยู่บนผิวเหล็กอย่างคมชัดตลอดความยาว
- ข้อควรจำ: เหล็กโครงสร้างสำหรับงานก่อสร้างบ้านต้องเป็นไปตาม มาตรฐาน มอก. 107-2561 ซึ่งเป็นมาตรฐานสำหรับท่อเหล็กกล้าคาร์บอนเพื่อโครงสร้างทั่วไป
2.ตรวจสอบขนาดและรูปร่าง
- ผิวเรียบเนียน: ผิวของเหล็กต้องเรียบเนียนตลอดทั้งเส้น หน้าตัดไม่บิดเบี้ยว ไม่มีลูกคลื่น หรือรูตำหนิ
- ขนาดเส้นผ่านศูนย์กลางที่ถูกต้อง: เหล็กเส้นเต็มจะมีขนาดมาตรฐานที่แน่นอน เช่น เหล็กเส้นกลมขนาด 6 มม., 9 มม., 12 มม. หรือเหล็กข้ออ้อยขนาด 10 มม., 12 มม., 16 มม. เป็นต้น
3.ชั่งน้ำหนัก
- เป็นวิธีที่แม่นยำเพียงตัดเหล็กออกมา 1 เมตร แล้วนำไปชั่งน้ำหนัก
- นำน้ำหนักที่ได้ไปเทียบกับตารางน้ำหนักมาตรฐานของ มอก. หากน้ำหนักตรงตามเกณฑ์ ก็มั่นใจได้ว่าเป็นเหล็กเต็ม
ตัวอย่างน้ำหนักมาตรฐานต่อความยาว 1 เมตร:
- เหล็กเส้นกลม 6 มม. ควรหนักประมาณ 0.222 กก.
- เหล็กข้ออ้อย 12 มม. ควรหนักประมาณ 0.888 กก.
ดังนั้นแล้วการเลือกซื้อเหล็กจากผู้จัดจำหน่ายที่น่าเชื่อถือและมีใบรับประกันสินค้าคือทางเลือกที่ดีที่สุด เพื่อให้มั่นใจว่าโครงการก่อสร้างของคุณจะแข็งแรง ปลอดภัย และมีคุณภาพในระยะยาว🏡
การประกาศปรับขึ้นภาษีนำเข้าเหล็กของสหรัฐอเมริกาเป็น 50% ภายใต้นโยบายที่เรียกกันว่า "ทรัมป์ 2.0" ได้สร้างแรงสั่นสะเทือนครั้งใหญ่ต่อตลาดเหล็กโลก และส่งผลกระทบต่อเนื่องมาถึงอุตสาหกรรมเหล็กของประเทศไทยอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ แม้ว่าผลกระทบโดยตรงจากการส่งออกเหล็กไทยไปสหรัฐฯ จะมีจำกัด เนื่องจากสัดส่วนมูลค่าที่ไม่สูงนัก แต่ ผลกระทบทางอ้อม กลับมีความสำคัญอย่างยิ่งและเป็นภัยที่ซ้ำเติมวิกฤตการณ์เดิมที่มีอยู่แล้ว
🌊 เหล็กต่างชาติทะลักเข้าไทย หลังถูกสหรัฐฯ ปิดทาง !
ผลกระทบที่น่ากังวลที่สุดคือการที่ประเทศคู่ค้าสำคัญของสหรัฐฯ ที่เคยได้รับการยกเว้นภาษี จะต้องเผชิญกับกำแพงภาษีที่สูงขึ้นทำให้ผู้ผลิตเหล็กคุณภาพสูงในเอเชีย เช่น ญี่ปุ่นและเกาหลีใต้ จำเป็นต้องเร่งระบายสินค้าเหล็กส่วนเกิน เข้ามาในตลาดอื่นที่มีการขนส่งสะดวกอย่างประเทศไทย การไหลเข้าของเหล็กคุณภาพเหล่านี้จะเข้ามาแข่งขันโดยตรงกับเหล็กที่ผลิตในประเทศ ซ้ำเติมปัญหาที่ไทยกำลังเผชิญอยู่แล้วจาก เหล็กราคาถูกจากจีน ซึ่งยังคงครองความได้เปรียบด้านต้นทุนและสามารถกดราคาจำหน่ายได้อย่างต่อเนื่อง
การไหลทะลักของเหล็กนำเข้าจากหลายแหล่งนี้จะยิ่งทำให้ อัตราการใช้กำลังการผลิตของโรงงานเหล็กไทยลดต่ำลงไปอีก ซึ่งเป็นสัญญาณวิกฤตที่สะท้อนจากสถิติก่อนหน้าที่ผลผลิตเหล็กไทยลดลงอย่างต่อเนื่องและอัตราการใช้กำลังการผลิตเฉลี่ยเคยลดลงจาก 57% ในปี 2016 มาอยู่ที่ประมาณ 40% ในปัจจุบัน การเพิ่มขึ้นของการนำเข้าจึงเสมือนการบีบให้ผู้ประกอบการไทยต้องเผชิญกับภาวะที่ยากลำบากยิ่งกว่าเดิม
💡 ทางรอดระยะยาว: เพิ่มประสิทธิภาพและผลิตเหล็กมูลค่าสูง
เพื่อความอยู่รอดในระยะยาว ผู้ประกอบการเหล็กไทยต้องเร่งปรับตัวอย่างเป็นระบบ
- ค้นหาตลาดใหม่: ในระยะสั้นควรพิจารณาขยายตลาดไปยังภูมิภาคอื่น เช่น ยุโรป ตะวันออกกลาง แอฟริกา และลาตินอเมริกา เพื่อลดการพึ่งพาตลาดสหรัฐฯ
- เพิ่มประสิทธิภาพการผลิต: แก้ไขปัญหาเชิงโครงสร้างด้วยการบริหารต้นทุนวัตถุดิบให้ยืดหยุ่น การจัดหาแหล่งวัตถุดิบที่หลากหลาย และการนำเทคโนโลยีใหม่ๆ มาใช้ในกระบวนการผลิต
- ยกระดับมูลค่าเพิ่ม: พัฒนาไปสู่การผลิต เหล็กเกรดพิเศษ (High Value-Added) เพื่อป้อนให้กับอุตสาหกรรมที่มีมูลค่าสูง เช่น ยานยนต์ การบิน และการป้องกันประเทศ
- มุ่งสู่ Green Steel: พัฒนาและได้รับการรับรองมาตรฐานการผลิต เหล็กสีเขียว (Green Steel) เพื่อตอบสนองความต้องการในห่วงโซ่อุปทานที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม และลดความเสี่ยงจากภาษีคาร์บอนข้ามพรมแดนที่มีแนวโน้มใช้มากขึ้นทั่วโลก
🤝 บทบาทภาครัฐควรสนับสนุนและปกป้องอย่างเร่งด่วน
อุตสาหกรรมเหล็กไทยที่กำลังเปราะบางต้องการการสนับสนุนจากภาครัฐอย่างจริงจัง ภาครัฐควรเน้นมาตรการ 2 ส่วนหลักคือ การเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขัน เช่น การพิจารณาปรับลดค่าไฟฟ้าสำหรับผู้ผลิตเหล็ก การให้แรงจูงใจทางภาษีสำหรับการลงทุนในเทคโนโลยีการผลิตขั้นสูงและการปกป้องอุตสาหกรรม ด้วยการใช้มาตรการตอบโต้การทุ่มตลาด (Anti-dumping), การควบคุมการจัดตั้งโรงงานเหล็กแห่งใหม่ของนักลงทุนต่างชาติอย่างเข้มงวด และการส่งเสริมให้หน่วยงานภาครัฐและเอกชนใช้เหล็กที่ผลิตในประเทศในสัดส่วนที่สูง
ในภาวะที่วิกฤติจากภายนอกถาโถมซ้ำเติมปัญหาภายใน ภาครัฐและเอกชนต้องผนึกกำลังกันเพื่อพลิกวิกฤตินี้ให้เป็นโอกาสในการปรับโครงสร้างอุตสาหกรรมเหล็กไทยให้แข็งแกร่งและยั่งยืนในระยะยาว
ขอบคุณข้อมูลจาก : thestandard (10/10/2568)
🔍ในวงการก่อสร้างและอุตสาหกรรม การเลือกใช้ เหล็ก เป็นหนึ่งในปัจจัยสำคัญที่ส่งผลต่อความแข็งแรงทนทานและความปลอดภัยของโครงสร้างในระยะยาว แม้เหล็กจีนบางส่วนจะมีราคาที่ดึงดูดใจ แต่เมื่อพิจารณาในภาพรวมแล้ว เหล็กไทยกลับเป็นตัวเลือกที่เหนือกว่าในหลายด้าน โดยเฉพาะในเรื่องของมาตรฐาน คุณภาพและความคุ้มค่า บทความนี้จะเจาะลึกถึงเหตุผลว่าทำไมเหล็กไทยจึงคุ้มค่ากว่าในระยะยาวเมื่อเทียบกับเหล็กนำเข้าราคาถูกจากจีน
1. มาตรฐานการผลิตที่เข้มงวดและเชื่อถือได้
เหล็กไทย ได้รับการควบคุมคุณภาพอย่างเป็นระบบ โรงงานผู้ผลิตส่วนใหญ่ต้องปฏิบัติตามมาตรฐานผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรม (มอก.) ✅ ซึ่งเป็นมาตรฐานที่บังคับใช้โดยสำนักงานมาตรฐานผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรม (สมอ.) ของประเทศไทย นอกจากนี้ยังมีการนำมาตรฐานสากลอย่าง ISO 9001 ✅ มาใช้เพื่อยกระดับคุณภาพการผลิตให้เทียบเท่าระดับโลก ทำให้เหล็กไทยมีองค์ประกอบทางเคมีและความแข็งแรงทางกลที่สม่ำเสมอ สามารถตรวจสอบได้ และมั่นใจได้ในทุกขั้นตอน ในทางกลับกัน เหล็กจีน โดยเฉพาะสินค้าที่เน้นราคาถูก อาจไม่ได้ผ่านการควบคุมคุณภาพที่เข้มงวดเท่าที่ควร ทำให้คุณภาพของเหล็กในแต่ละล็อตไม่คงที่ อาจมีความแข็งแรงไม่สม่ำเสมอ หรือมีข้อบกพร่องแฝงในเนื้อเหล็ก ซึ่งอาจนำไปสู่ปัญหาโครงสร้างในระยะยาวได้
2. ทนทานและอายุการใช้งานที่ยาวนานกว่า
เหล็กไทยมีชื่อเสียงด้านความแข็งแรง ทนทาน และมีอายุการใช้งานยาวนาน แม้ต้องเผชิญกับสภาพแวดล้อมที่รุนแรง🥴 เช่น ความชื้น หรือสารเคมี จึงเหมาะสำหรับโครงสร้างที่ต้องการความมั่นคงสูง ขณะที่เหล็กจีนราคาถูกอาจมีโอกาสเกิดสนิม การเปลี่ยนรูป หรือแตกร้าวได้ง่ายกว่า ซึ่งจะนำมาซึ่งค่าใช้จ่ายในการซ่อมแซมบำรุงรักษาที่สูงขึ้น และอาจส่งผลกระทบต่อความปลอดภัยโดยรวมของโครงสร้าง
3. ขนาดและน้ำหนักที่ได้มาตรฐาน
เหล็กไทยมีความแม่นยำในเรื่องขนาดและน้ำหนักตามมาตรฐาน มอก. ทำให้วิศวกรและผู้รับเหมาสามารถคำนวณการใช้งานได้อย่างถูกต้องแม่นยำ ส่วนเหล็กจีนราคาถูกบางครั้งอาจมีน้ำหนักเบากว่ามาตรฐานจริง หรือขนาดเส้นผ่านศูนย์กลางเล็กกว่าที่ระบุไว้ ซึ่งส่งผลโดยตรงต่อกำลังรับแรงและความแข็งแรงของโครงสร้างทั้งหมด
4. เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมมากกว่า
อุตสาหกรรมเหล็กไทยให้ความสำคัญกับความยั่งยืนด้านสิ่งแวดล้อม🌿 โดยมีการนำเทคโนโลยีที่ช่วยลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกและใช้พลังงานอย่างมีประสิทธิภาพ อีกทั้งยังส่งเสริมการนำเหล็กมา รีไซเคิล♻️ อย่างเป็นระบบ ขณะที่การผลิตเหล็กในโรงงานบางแห่งของจีนถูกวิพากษ์วิจารณ์เรื่องมลพิษและการใช้พลังงานอย่างสิ้นเปลือง
5. สนับสนุนเศรษฐกิจภายในประเทศ
การเลือกใช้เหล็กที่ผลิตในประเทศเป็นการช่วยขับเคลื่อนเศรษฐกิจไทยโดยตรง ช่วยสร้างงาน สร้างรายได้💸 และพัฒนาทักษะให้กับแรงงานในอุตสาหกรรมนี้ นอกจากนี้ยังช่วยลดการพึ่งพาการนำเข้าจากต่างประเทศ ทำให้ประเทศมีความมั่นคงทางเศรษฐกิจมากขึ้นเมื่อเกิดวิกฤตเศรษฐกิจโลก
✅ สรุปแล้วแม้เหล็กจีนราคาถูกอาจช่วยลดต้นทุนในตอนแรก แต่เมื่อพิจารณาถึงความเสี่ยงด้านคุณภาพ ความทนทาน และอายุการใช้งานในระยะยาวแล้ว เหล็กไทยที่ได้มาตรฐาน มอก. และมาตรฐานสากล ถือเป็นการลงทุนที่คุ้มค่ากว่าอย่างแน่นอน เพราะช่วยให้งานก่อสร้างมีความปลอดภัย แข็งแรง และยั่งยืน อีกทั้งยังเป็นการสนับสนุนผู้ผลิตในประเทศไปพร้อมๆ กัน การเลือกใช้เหล็กจึงไม่ควรพิจารณาแค่ราคาหน้างาน แต่ต้องมองถึงความคุ้มค่าและความปลอดภัยของโครงการในภาพรวมด้วยนะทุกคน
เนื่องจากเหตุการณ์แผ่นดินไหวในกรุงเทพฯ ที่ทำให้หลายคนรู้สึกได้ถึงแรงสั่นสะเทือน ได้กลายเป็นตัวเร่งสำคัญที่ชี้ให้เห็นถึงความจำเป็นเร่งด่วนในการยกระดับมาตรฐานความปลอดภัยของโครงสร้างอาคารและที่พักอาศัย โดยเฉพาะอย่างยิ่งวัสดุหลักอย่าง "เหล็กเส้น"
สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.) โดยนายบัณฑูรย์ จุ้ยเจริญ ประธานกลุ่มอุตสาหกรรมเหล็ก ได้ออกมาเปิดเผยผลการศึกษาที่น่าตกใจ พร้อมทั้งเสนอให้สำนักงานมาตรฐานผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรม (สมอ.) เร่งทบทวนและแก้ไขมาตรฐานผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรม (มอก.) เหล็กเส้น เพื่อความมั่นคงปลอดภัยของชาติ
เหล็กเส้น "เตา IF" คืออะไร? ทำไมถึงมีความเสี่ยง?
ปัจจุบันตลาดเหล็กเส้นก่อสร้างของไทยมีปริมาณกว่า 3 ล้านตันต่อปี และเหล็กเส้นที่ผลิตจากเตา Induction Furnace (IF) กลับมีสัดส่วนครองตลาดมากกว่าครึ่ง (ประมาณ 1.6 ล้านตัน) เนื่องจากมีราคาถูกกว่า แต่ปัญหาใหญ่ที่ตามมาคือ "คุณภาพที่ไม่สม่ำเสมอ"
ความเสี่ยงของเหล็กจากเตา IF
- สารมลทินสูง: เตา IF ไม่มีระบบในการกำจัดสารมลทินสำคัญ เช่น ฟอสฟอรัสและกำมะถันที่มาจากเศษเหล็ก ทำให้ไม่สามารถควบคุมคุณสมบัติทางเคมีของเหล็กได้ดี
- เนื้อเหล็กไม่สม่ำเสมอ: ลักษณะการหลอมด้วยไฟฟ้าของเตา IF มีการกวนวนต่ำ ทำให้การควบคุมคุณสมบัติทางกลของเหล็ก เช่น ความเหนียวและความต้านทานแรงดึง (ที่สำคัญมากต่อการรับแรงแผ่นดินไหว) ทำได้ยาก
- ขาดการปรุงคุณภาพ: โรงงาน IF ส่วนใหญ่ในไทย ไม่ได้ติดตั้ง "เตาปรุง" (Ladle Furnace: LF) ซึ่งเป็นกระบวนการสำคัญที่ช่วยปรับปรุงคุณภาพน้ำเหล็กให้บริสุทธิ์และขจัดสิ่งเจือปน ทำให้เหล็กไม่ได้คุณภาพตามที่ควรจะเป็น
ถอดบทเรียนราคาแพงจากประเทศจีน: ปิดโรงงาน IF 600 แห่ง!
จีนเคยเป็นผู้ผลิตเหล็กเส้นจากเตา IF รายใหญ่ที่สุดในโลก แต่พบปัญหาเหล็กเส้นคุณภาพต่ำที่เชื่อมโยงกับอุบัติเหตุร้ายแรง เช่น อาคารและสะพานถล่ม รัฐบาลจีนจึงตัดสินใจครั้งใหญ่ในปี 2560
- สั่งปิดโรงงาน IF กว่า 600 แห่ง คิดเป็นกำลังการผลิตกว่า 120 ล้านตัน
- ปรับมาตรฐานเหล็กเส้นใหม่ โดยกำหนดให้ต้องผลิตจากเตาที่ได้มาตรฐานสูงกว่าเท่านั้น (BOF หรือ EAF) และต้องมีการปรุงคุณภาพน้ำเหล็กสำหรับเหล็กเกรดต้านแผ่นดินไหว
ที่น่าตกใจคือ❗ ไทยมีการปรับแก้ มอก. เหล็กเส้นในปี 2559 (เพียง 1 ปีก่อนที่จีนจะยกเลิกเตา IF) โดยยกเลิกข้อกำหนดเดิมที่จำกัดให้ใช้เฉพาะเตา BOF หรือ EAF ออกไป ทำให้เตา IF สามารถเข้ามาผลิตเหล็กเส้นในไทยได้ ซึ่งข้อกำหนดเพิ่มเติมที่ใส่เข้ามาเพื่อควบคุมคุณภาพก็ยังไม่เกิดประสิทธิผลเท่าที่ควร
ส.อ.ท. เสนอ 4 จุดเปลี่ยนสำคัญ เพื่อความปลอดภัยของโครงสร้างไทย
จากบทเรียนความสูญเสียในจีนและความก้าวหน้าของงานก่อสร้างโครงการพื้นฐานขนาดใหญ่ในปัจจุบัน ส.อ.ท. จึงเสนอให้มีการแก้ไข มอก. เหล็กเส้นใน 4 เรื่องสำคัญเพื่อยกระดับมาตรฐานความปลอดภัยในประเทศ
- กำหนดวิธีการผลิต: ให้ผลิตจากเตา BOF (Basic Oxygen Furnace) หรือ EAF (Electric Arc Furnace) เท่านั้น และให้เหล็กเกรดต้านแผ่นดินไหวต้องผ่านการปรุงคุณภาพน้ำเหล็ก
- ห้ามใช้วิธีเร่งความแข็งแรงแบบ Tempcore: ซึ่งเป็นการชุบแข็งที่อาจส่งผลต่อคุณสมบัติความเหนียวของเหล็ก
- ยกระดับการทดสอบ: เพิ่มการทดสอบความทนทานต่อความล้า (Fatigue) จากการสั่นสะเทือนของแผ่นดินไหวที่เข้มงวดขึ้น
- เพิ่มความเข้มงวดในการบังคับใช้: สร้างระบบตรวจสอบและลงโทษอย่างจริงจัง เพื่อสกัดกั้นเหล็กด้อยคุณภาพออกจากตลาด
ดังนั้นแล้วการแก้ไข มอก. ในครั้งนี้ไม่ใช่แค่การปรับกฎหมาย แต่เป็นการสร้างหลักประกันด้านความปลอดภัยให้กับทุกสิ่งก่อสร้างของประเทศ นายบัณฑูรย์เน้นย้ำว่าถือเป็นโอกาสสำคัญที่ประเทศไทยจะได้ยกระดับมาตรฐานเหล็กให้ทัดเทียมสากลและป้องกันความเสี่ยงด้านความปลอดภัยในอนาคต 💪
ขอบคุณข้อมูลจาก : กรุงเทพธรุกิจ (4/10/2568)
ในวงการเหล็กจะมีเหล็กอยู่ 3 ชนิดที่หน้าตาภายนอกคล้ายกัน นั่นคือเหล็กเอชบีม ( H-Beam) ไอบีม (I-Beam) และ ไวด์แฟรงค์ (WF) แต่ทั้งสามนั้นถูกออกแบบมาเพื่อการใช้งานที่แตกต่างกัน ดังนั้นการเลือกใช้ให้ถูกประเภทคือหัวใจสำคัญที่จะช่วยให้งานก่อสร้างของคุณทั้งแข็งแรงและประหยัดงบประมาณ มาดูกันว่าเหล็กแต่ละชนิดมีความโดดเด่นอย่างไรบ้าง
H-Beam (เอชบีม) : หน้าตัดรูปตัว 'H' มีปีกที่กว้างและหนาเท่ากันตลอดทั้งเส้น มีขนาดความลึกเท่ากับความกว้าง เช่น H 200×200 มีขนาดให้เลือกหลากหลายตั้งแต่เล็กจนใหญ่ ทำให้เป็นตัวเลือกที่ยืดหยุ่นสำหรับงานโครงสร้างทั่วไป เช่น เสาและคานอาคาร โรงงาน หรือโกดัง
I-Beam (ไอบีม): หน้าตัดรูปตัว 'I' มีลักษณะพิเศษคือปีกจะเรียวที่ปลายและหนาขึ้นที่โคน ทำให้มีความสามารถในการรับแรงจากการเคลื่อนที่ได้ดีเป็นพิเศษ จึงถูกออกแบบมาเพื่อการใช้งานเฉพาะทาง เช่น รางเลื่อนของเครนในโรงงานอุตสาหกรรม
Wide-Flange (ไวด์แฟงค์): หน้าตัดรูปตัว 'H' เช่นเดียวกับ H-Beam แต่มีปีกที่กว้างกว่าและมีน้ำหนักเบากว่า I-Beam ทำให้มีราคาถูกกว่า เหมาะสำหรับงานโครงสร้างทั่วไปที่ไม่ต้องรับน้ำหนักสูงมาก และมักใช้ทดแทนโครงสร้างคอนกรีตได้เนื่องจากน้ำหนักเบาและติดตั้งง่าย
ความแตกต่างที่ควรรู้ก่อนเลือกใช้
1. ความแข็งแรงและการใช้งาน
แม้ทั้งสามประเภทจะแข็งแรงทนทาน แต่ก็มีวัตถุประสงค์ต่างกัน H-Beam คือเหล็กมาตรฐานสำหรับงานโครงสร้างทั่วไป ส่วน I-Beam เหมาะสำหรับงานที่ต้องรับแรงเคลื่อนที่โดยเฉพาะ และ Wide-Flange เป็นตัวเลือกสำหรับงานที่ต้องการน้ำหนักเบาและติดตั้งเร็ว
2.น้ำหนักและราคา
ด้วยขนาดหน้าตัดที่เท่ากัน I-Beam จะมีน้ำหนักมากกว่า H-Beam อย่างมาก ส่งผลให้ราคาสูงขึ้นตามไปด้วย การเลือกใช้ I-Beam ผิดประเภทอาจทำให้งบประมาณบานปลายโดยไม่จำเป็น
3.มาตรฐานอุตสาหกรรม
H-Beam และ I-Beam ได้รับมาตรฐาน มอก. 1227-2558 (เหล็กโครงสร้างรูปพรรณรีดร้อน) ส่วน Wide-Flange เป็นหน้าตัดเหล็กตามมาตรฐาน ASTM ของสหรัฐอเมริกา
ดังนั้นการเลือกใช้เหล็กให้ถูกต้องกับประเภทงานจะช่วยป้องกันความเสียหายที่อาจเกิดขึ้นในอนาคต และยังช่วยควบคุมงบประมาณได้อย่างมีประสิทธิภาพ จำง่ายๆว่าถ้าจะสร้างเสาหรือคานในอาคารทั่วไป H-Beam คือตัวเลือกที่เหมาะสมและคุ้มค่าที่สุด
บ้านน็อคดาวน์ คือทางเลือกใหม่ที่ตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์ยุคนี้ ทั้งรวดเร็วและประหยัดงบประมาณ แต่หัวใจสำคัญที่จะทำให้บ้านแข็งแรงและปลอดภัยคือการเลือก " เหล็ก " ที่เหมาะสม เพราะเป็นการลงทุนเพื่อความปลอดภัยและความยั่งยืนของบ้านในระยะยาว ลองไปดูเทคนิคที่อาจช่วยคุณได้ไม่มากก็น้อยกันค่ะ
1.รู้จักประเภทเหล็ก เลือกให้ตรงจุด
เหล็กแต่ละชนิดมีจุดเด่นต่างกันไป การเลือกให้ถูกประเภทจะช่วยให้บ้านทั้งแข็งแรงและคุ้มค่า เช่น
- เหล็กกล่อง : ตัวเลือกยอดนิยมสำหรับโครงสร้างทั่วไป มีทั้งแบบที่ต้องทาสีกันสนิมเพิ่ม และแบบเหล็กกัลวาไนซ์ที่เคลือบสารกันสนิมมาแล้วจากโรงงาน
- เหล็ก H-Beam : มีความแข็งแกร่ง เหมาะสำหรับโครงสร้างหลักที่ต้องรับน้ำหนักสูง เช่น เสาหรือคานหลักของตัวบ้าน
นอกจากเลือกประเภทของเหล็กให้ถูกจุดแล้วแล้ว ขนาดและความหนาของเหล็กก็สำคัญเช่นกัน โดยทั่วไปแล้วมักใช้เหล็กที่มีความหนาอย่างน้อย 2.0-2.4 มม. เพื่อให้โครงสร้างแข็งแรงและปลอดภัย
2.ซื้อเหล็กจากแหล่งที่ไว้ใจได้เท่านั้น
คุณภาพของเหล็กก็เป็นอีกหนึ่งเรื่องที่มีความสำคัญมาก! ควรเลือกซื้อจากผู้ผลิตหรือตัวแทนจำหน่ายที่เชื่อถือได้ มี ✅มอก. และมีรีวิวที่ดีจากลูกค้าเพื่อให้มั่นใจได้ว่าเหล็กทุกเส้นมีคุณภาพตามมาตรฐานและปลอดภัยต่อการใช้งาน
3.ตรวจสอบสภาพเหล็กก่อนนำมาใช้
ควรตรวจสอบสภาพเหล็กอย่างละเอียดด้วยตาเปล่าก่อนเริ่มงานก่อสร้างทุกครั้ง เหล็กที่ดีและได้มาตรฐานนั้นไม่ควรมีร่องรอยความเสียหายใดๆ เช่น
📌ไม่มีรอยร้าว
📌ไม่แตกหรือบิดงอ
📌พื้นผิวเรียบเนียน
📌ที่สำคัญที่สุด คือต้องไม่มีสนิม
4.ปรึกษาผู้เชี่ยวชาญก่อนตัดสินใจ
ถ้ายังไม่มั่นใจ การปรึกษาสถาปนิกหรือวิศวกรโครงสร้าง คือทางเลือกที่ดีที่สุด พวกเขาจะช่วยคำนวณและเลือกชนิด ขนาด และจำนวนเหล็กที่เหมาะสมกับบ้านของคุณ เพื่อให้บ้านน็อคดาวน์ของคุณแข็งแรงและปลอดภัยตามหลักวิศวกรรม

นอกจากขั้นตอนการสร้างแล้ว อีกอย่างที่สำคัญไม่แพ้กันคือการดูแลรักษา แม้บ้านน็อคดาวน์จะสร้างเร็ว แต่ก็ต้องได้รับการดูแลอย่างสม่ำเสมอเช่นเดียวกับบ้านทั่วไป โดยเฉพาะในจุดที่เสี่ยงต่อการเกิดสนิม เช่น รอยต่อของเหล็ก รางน้ำ หรือส่วนที่อยู่ใกล้พื้นดิน ควรทาสีกันสนิมและหมั่นตรวจสอบหลังคาและรอยรั่วซึมตามขอบประตูหน้าต่างอย่างสม่ำเสมอ
ขอขอบคุณข้อมูลจาก : phiphatsteel.co.th
ท่ามกลางกระแสการค้าโลกที่มุ่งเน้นความยั่งยืนและมาตรการด้านสิ่งแวดล้อมที่เข้มงวดขึ้น ภาคการส่งออกของไทยกำลังแสดงสัญญาณบวกที่น่าจับตา โดยเฉพาะภายใต้กรอบการค้าใหม่ของสหภาพยุโรป (อียู) อย่าง " มาตรการปรับคาร์บอนก่อนข้ามพรมแดน " (Carbon Border Adjustment Mechanism: CBAM) นายพูนพงษ์ นัยนาภากรณ์ ผู้อำนวยการสำนักงานนโยบายและยุทธศาสตร์การค้า (สนค.) กระทรวงพาณิชย์ เปิดเผยถึงผลการส่งออกสินค้าไทยภายใต้มาตรการ CBAM ไปยังอียูในช่วง 6 เดือนแรกของปีนี้ (ม.ค.-มิ.ย. 2568) ว่า มีมูลค่ารวม 203.63 ล้านเหรียญสหรัฐ เติบโตสูงถึง 29.08% ซึ่งเป็นการเติบโตที่แข็งแกร่งและ สวนทางกับภาพรวมการส่งออกของไทยในปี 2567
"เหล็กและเหล็กกล้า" คือพระเอก ดันส่งออก CBAM โตทะลุ 40%
ปัจจัยหลักที่ขับเคลื่อนการเติบโตอย่างก้าวกระโดดนี้คือ สินค้ากลุ่มเหล็กและเหล็กกล้า ซึ่งเป็นหนึ่งใน 6 กลุ่มสินค้าที่เข้าข่ายมาตรการ CBAM
- เหล็กและเหล็กกล้า เป็นสินค้าส่งออกภายใต้ CBAM ที่มีสัดส่วนสูงสุดถึง 83.38%
- มูลค่าส่งออก 169.78 ล้านเหรียญสหรัฐ
- อัตราการขยายตัว พุ่งสูงถึง 40.36%
นี่เป็นข้อบ่งชี้ที่ชัดเจนว่า สินค้าเหล็กของไทยมีศักยภาพในการแข่งขันและเป็นที่ต้องการของตลาดอียูที่ให้ความสำคัญกับมาตรฐานด้านสิ่งแวดล้อมอย่างจริงจัง สะท้อนความสามารถในการปรับตัวของผู้ประกอบการไทยได้ดี ในทางกลับกัน สินค้าอีกกลุ่มที่ส่งออกไปอียูภายใต้ CBAM คือ อะลูมิเนียมและของทำด้วยอะลูมิเนียม มีมูลค่าส่งออก 33.85 ล้านเหรียญสหรัฐแต่หดตัว 7.99%
⚠️ เตรียมพร้อมก่อน CBAM บังคับใช้เต็มรูปแบบ ม.ค. 2569
มาตรการ CBAM จะเข้าสู่ช่วง บังคับใช้เต็มรูปแบบในวันที่ 1 มกราคม 2569 ซึ่งจะทำให้ผู้นำเข้าต้องซื้อและส่งมอบ "CBAM Certificate" ตามปริมาณการปล่อยคาร์บอนของสินค้าที่นำเข้า นั่นหมายความว่า ผู้ประกอบการไทยอาจต้องเผชิญกับต้นทุนที่สูงขึ้นในการตรวจสอบข้อมูลการปล่อยก๊าซเรือนกระจก 🔑 เปลี่ยนความท้าทายเป็นโอกาส กับ 3 สิ่งที่ผู้ประกอบการไทยต้องทำ เพื่อเปลี่ยนความท้าทายนี้ให้เป็นโอกาสในการยกระดับขีดความสามารถในการแข่งขัน ผู้ประกอบการไทยควรเร่งดำเนินการใน 3 ด้านหลัก ดังนี้
- ทำความเข้าใจและเตรียมพร้อม
- ศึกษาหลักการของ CBAM อย่างละเอียด และเตรียมความพร้อมในการ คำนวณและจัดทำข้อมูลปริมาณการปล่อยก๊าซเรือนกระจก (Embedded Emission) ตลอดห่วงโซ่การผลิต
- ยกระดับและลดคาร์บอน
- ลงทุนใน เทคโนโลยีสะอาด หรือปรับปรุงกระบวนการผลิตเพื่อลดการปล่อยคาร์บอนในสินค้า
- แสวงหาการสนับสนุนและขยายตลาด
- ขอรับการสนับสนุนด้านองค์ความรู้และการเงินจากภาครัฐและหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เช่น อบก. และ ส.อ.ท.
- ขยายตลาดเชิงรุก พัฒนาสินค้าที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมเพื่อสร้างมูลค่าเพิ่ม ไม่เพียงแค่ในอียู แต่ยังรวมถึงตลาดสำคัญอื่น ๆ ที่กำลังพิจารณาใช้มาตรการในลักษณะเดียวกัน เช่น สหราชอาณาจักร สหรัฐ และออสเตรเลีย
สรุปได้ว่า การเติบโตอย่างโดดเด่นของเหล็กและเหล็กกล้าภายใต้กรอบ CBAM เป็นเครื่องพิสูจน์ถึงความสามารถในการปรับตัวของอุตสาหกรรมไทย และเป็นโอกาสครั้งสำคัญในการสร้างมาตรฐานสินค้าที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม เพื่อเปิดประตูสู่การค้าโลกยุคใหม่ที่ให้ความสำคัญกับความยั่งยืน
✨เกร็ดความรู้✨
CBAM (Carbon Border Adjustment Mechanism) คือมาตรการปรับราคาคาร์บอนก่อนข้ามพรมแดนของสหภาพยุโรป ซึ่งเป็นการกำหนดราคาสินค้านำเข้าบางประเภทเพื่อป้องกันการนำเข้าสินค้าที่ปล่อยก๊าซเรือนกระจกสูงเข้ามาใน EUอย่างจริงจัง โดยมีสินค้า 6 กลุ่มที่อยู่ในมาตรการนี้ ได้แก่
- เหล็กและเหล็กกล้า
- อะลูมิเนียมและของทำด้วยอะลูมิเนียม
- ซีเมนต์
- ปุ๋ย
- ไฟฟ้า
- ไฮโดรเจน
ขอบคุณข้อมูลจาก: khaosod (7/9/2568)
เหล็กแผ่นลายกันลื่น หรือ Checkered Plate เป็นวัสดุที่ขาดไม่ได้ในงานก่อสร้างและอุตสาหกรรม เพราะความสามารถในการป้องกันอุบัติเหตุจากการลื่นล้มได้ดี แต่หลายคนยังไม่ทราบว่าลวดลายบนแผ่นเหล็กเหล่านี้ไม่ได้มีไว้เพียงแค่กันลื่นเท่านั้น แต่ยังช่วยเสริมความแข็งแรงให้กับโครงสร้างอีกด้วย ในตลาดเหล็กแผ่นลายกันลื่นมีอยู่สองแบบหลักๆ คือ ลายตีนไก่ และ ลายตีนเป็ด ซึ่งแต่ละแบบมีจุดเด่นและการใช้งานที่แตกต่างกัน

เหล็กแผ่นลาย " ตีนไก่ "
ลักษณะของลายจะเป็น ลายเส้นเดี่ยวไขว้สลับกัน คล้ายกับรอยขีดเล็กๆ ที่เรียงตัวสม่ำเสมอ การปั๊มขึ้นรูปในลักษณะนี้ไม่เพียงแต่สร้างความสวยงาม แต่ยังช่วยเพิ่มความแข็งแรงและความยืดหยุ่นให้กับแผ่นเหล็กอีกด้วย
ข้อดี 👍
- ลายเส้นเล็กและละเอียด ให้ผิวสัมผัสที่มีแรงเสียดทานสูง
- ช่วยให้การเดินมีความมั่นคงและปลอดภัย
- ดูเรียบง่ายและสวยงาม
ส่วนในด้านการใช้งานเหล็กแผ่นลายตีนไก่นี้จะเหมาะสำหรับงานที่ต้องการความแข็งแรงพร้อมความสวยงาม เช่น พื้นทางเดิน ขั้นบันได และงานตกแต่งภายใน

เหล็กแผ่นลาย " ตีนเป็ด "
ลักษณะของลายเป็น ลายเส้นเรียงกันแถบใหญ่ คล้ายพังผิดเท้าของเป็ด การออกแบบลายในรูปแบบนี้ช่วยเพิ่มความแข็งแรงและความสามารถในการต้านทานแรงบิดให้กับแผ่นเหล็ก
ข้อดี 👍
- ลายแถบใหญ่และชัดเจน ให้พื้นผิวสัมผัสที่มั่นคง
- รับน้ำหนักได้มากและทนทานเป็นพิเศษ
- เหมาะสำหรับงานหนักที่ต้องการความแข็งแรงสูง
ในด้านการใช้งานเหล็กแผ่นลายตีนเป็ดนี้นิยมใช้ในงานอุตสาหกรรมหนัก เช่น พื้นโรงงาน แท่นวางเครื่องจักร พื้นรถบรรทุก หรือทางลาดสำหรับรถยนต์
" เลือกให้ถูกงาน เพื่อประสิทธิภาพสูงสุด"
ไม่ว่าจะเป็นลาย "ตีนไก่" หรือ "ตีนเป็ด" เหล็กแผ่นลายกันลื่นเหล่านี้ต่างก็มีคุณสมบัติหลักที่เหมือนกันคือ
✅ ป้องกันลื่นล้ม
✅ เสริมความแข็งแรง
✅ ทนทานต่อสภาพอากาศ
สรุปการเลือกว่าจะใช้ลายตีนไก่หรือตีนเป็ดนั้น ไม่ได้ขึ้นอยู่กับความชอบส่วนตัวอย่างเดียว แต่ต้องเลือกตามลักษณะงานด้วย หากต้องการความละเอียดสวยงามและเหมาะกับงานตกแต่ง ลายตีนไก่ จะเป็นตัวเลือกที่ดี แต่หากเน้นความแข็งแรงและความทนทานสำหรับงานหนัก ลายตีนเป็ด จะตอบโจทย์ได้ดีกว่านะคะ แต่ว่าในตลาดเหล็กก็ไม่ได้มีแค่ 2 ลายนี้เท่านั้นนะ สำคัญคือลูกค้าควรเลือกให้เหมาะสมกับการใช้งานที่สุด....
เหล็กข้ออ้อยถือเป็นหัวใจสำคัญในงานก่อสร้าง เพราะทำให้โครงสร้างคอนกรีตแข็งแรงและป้องกันการแตกร้าว แต่เวลาไปซื้อเหล็ก หลายคนอาจสงสัยว่าเหล็กที่มีตัว " T " บนผิว กับแบบที่ " ไม่มี T " นั้นต่างกันยังไง แล้วแบบไหนดีกว่ากัน วันนี้ลองมาทำความเข้าใจกันดูค่ะ

เหล็กข้ออ้อย " ไม่มี T " หรือ " Non T "
👉เป็นเหล็กที่ใช้วิธีการผลิตแบบเดิม คือหลังจากรีดร้อนแล้วปล่อยให้เย็นตัวลงเองตามธรรมชาติ ผลลัพธ์ที่ได้คือเหล็กทั้งเส้นมีความแข็งแรงสม่ำเสมอจากผิวนอกไปจนถึงแกนกลาง

เหล็กข้ออ้อยที่มี “ T ”
👉เป็นเหล็กที่ผ่านกระบวนการผลิตที่ไม่ใช่วิธีแบบเดิม โดยหลังจากรีดร้อนเสร็จแล้ว จะมีการฉีดน้ำหรือสเปรย์น้ำลงบนผิวเหล็กทันที ทำให้ผิวนอกแข็ง ต้านทานแรงกระแทกได้ดี ส่วนแกนกลางยังคงยืดหยุ่น หรือพูดง่ายๆคือ "นอกแข็ง ในนิ่ม"
เหล็กทั้งสองแบบ คุณภาพต่างกันจริงหรือ ❓❓
ต้องบอกว่าเหล็กทั้งสองแบบนั้นผ่านการตรวจสอบและได้รับมาตรฐานอุตสาหกรรม (มอก. 24-2559) ✅ ซึ่งเป็นสิ่งที่ยืนยันว่ามีทั้งความแข็งแรงในการรับแรงดึง ความยืดตัวและการดัดโค้ง ส่วนในด้านการใช้งานนั้น เหล็กทั้งสองแบบสามารถนำไปใช้ในงานก่อสร้างโครงสร้างทั่วไปได้เหมือนกัน ไม่ว่าจะเป็นบ้านพักอาศัย อาคาร หรือคอนโดมิเนียม แค่ต้องเลือกให้เหมาะสมกับการใช้งาน
ปัจจุบันในส่วนของงานภาครัฐนั้น กรมทางหลวงยังคงเลือกใช้เหล็ก Non-T สำหรับงานถนน เพื่อรองรับแรงกระทำซ้ำๆของการจราจร ในขณะที่หน่วยงานภาครัฐอื่นๆและภาคเอกชน ยอมรับการใช้เหล็ก มี T ในงานอาคารทั่วไปได้แล้ว ตามการยืนยันของวิศวกรรมสถานแห่งประเทศไทย (วสท)
✒️ สรุปง่ายๆคือ สัญลักษณ์ “ T ” เป็นเพียงตัวบ่งชี้ถึง วิธีการผลิต ที่แตกต่างกัน แต่ไม่ได้หมายความว่าเหล็กประเภทใดจะดีกว่ากัน เพราะทั้งสองประเภทต่างก็มีคุณภาพได้มาตรฐานและสามารถใช้งานในงานก่อสร้างได้อย่างปลอดภัยตามหลักวิศวกรรมนะ 👌