ท่อ API (API Pipe) หรือบางครั้งเรียกว่าท่อสตีม, ท่อไร้รอยต่อ หรือแป๊บสตีมดำ เป็นท่อผิวเรียบมีคุณภาพในด้านความแข็งแรงและเหมาะกับงานอุตสาหกรรม โดยเฉพาะของเหลวที่มีอุณหภูมิสูง ท่อAPI มีด้วยกัน 2 ประเภท คือ ท่อมีตะเข็บและท่อไม่มีตะเข็บ
ท่อไม่มีตะเข็บ (Seamless Pipe)
ผลิตจากเหล็กชิ้นเดียวโดยนำมาหลอมแล้วเจาะทะลุตรงกลางให้เป็นรู จากนั้นดึงให้ได้ความยาวตามที่ต้องการ วิธีนี้จะทำให้ท่อไม่มีตะเข็บหรือไม่มีรอยต่อและมีผิวที่เรียบเนียน
คุณสมบัติ
ลักษณะการใช้งานจะเหมาะกับการใช้งานแรงดันสูงหรืออุณหภูมิสูง เช่น โรงงานปิโตรเคมีและโรงกลั่นหรือสถานที่ๆต้องการความปลอดภัย
ท่อมีตะเข็บ (Welded Pipe)
เป็นเหล็กที่ผลิตจากการนำเหล็กแผ่นมาม้วนให้เป็นรูปทรงกระบอก จากนั้นเชื่อมขอบให้เข้ากันเป็นตะเข็บแนวยาว
คุณสมบัติ
ลักษณะการใช้งานจะเหมาะสมกับการใช้งานทั่วไปที่ไม่ต้องรองรับแรงดันสูง เช่น ท่อส่งน้ำภายในอาคารและโรงงาน หรือท่อลำเลียงของเหลวที่ไม่มีความอันตรายมากนัก
สั่งเหล็กกับเราได้ง่ายๆ เพียงแค่เลือกสินค้าใส่ตะกร้าและกรอกข้อมูลให้ครบถ้วน
จากนั้นกด "ขอใบเสนอราคา" หรือติดต่อผ่าน Line @metalmate
ในบรรดาผลิตภัณฑ์เหล็กรูปพรรณที่ถูกใช้งานอย่างแพร่หลายในงานก่อสร้างและงานโครงสร้างทั่วไป "เหล็กกล่องดำ" เป็นหนึ่งในชนิดที่ได้รับความนิยมสูงที่สุด บทความนี้จะพาทุกท่านไปทำความรู้จักกับคุณสมบัติของเหล็กกล่องดำ และเหตุผลที่มันกลายเป็นตัวเลือกอันดับแรกในงานโครงสร้างเบาถึงขนาดกลาง
'เหล็กกล่องดำ' คืออะไร
เหล็กกล่องดำ คือเหล็กที่ถูกขึ้นรูปให้มีหน้าตัดเป็นรูปสี่เหลี่ยมจัตุรัส (Square Tube) หรือสี่เหลี่ยมผืนผ้า (Rectangular Tube) เป็นที่รู้จักกันในชื่อ เหล็กแป๊บเหลี่ยม/ท่อเหล็กสี่เหลี่ยมจัตุรัสและผืนผ้า ผลิตจากเหล็กแผ่นคุณภาพสูง โดยถูกรีดและเชื่อมให้เป็นท่อแล้วเคลือบผิวไว้ด้วยน้ำมันเพื่อป้องกันสนิมชั่วคราว
คุณสมบัติเด่นที่ทำให้เหล็กกล่องดำเป็นที่นิยม
เหล็กกล่องดำมีคุณสมบัติเฉพาะตัวที่ตอบโจทย์งานก่อสร้างหลายประเภทได้อย่างลงตัว
1.รับแรงได้ดีเยี่ยมทุกทิศทาง
เนื่องจากมีรูปทรงเป็นกล่องปิด ทำให้เหล็กกล่องสามารถ รับน้ำหนักได้ทั้งแรงดึงและแรงอัด ได้อย่างมีประสิทธิภาพ และมีการกระจายน้ำหนักที่ดีกว่าเหล็กที่มีหน้าตัดเปิด เช่น เหล็กฉาก
2. น้ำหนักเบา ก่อสร้างรวดเร็ว
เหล็กกล่องมีอัตราส่วนความแข็งแรงต่อน้ำหนักที่ดี ทำให้สามารถลดน้ำหนักรวมของโครงสร้างได้ง่าย และการติดตั้งก็ทำได้รวดเร็ว ช่วยประหยัดเวลาและค่าแรงในการก่อสร้าง
เหล็กกล่องดำใช้ทำอะไรได้บ้าง
งานโครงสร้างเบาถึงขนาดกลาง
เช่า เสา คาน และโครงหลังคาของโรงจอดรถ, โกดังเก็บของขนาดเล็ก, ร้านอาหาร, หรืออาคารพาณิชย์ขนาดเล็ก
งานเฟอร์นิเจอร์และตกแต่ง
เช่น โครงโต๊ะ, ชั้นวางของ, โครงเตียง, ราวบันได, และรั้ว
งานซับพอร์ต
เช่น โครงสร้างรองรับสำหรับติดตั้งแผงโซลาร์เซลล์, ป้ายโฆษณา, หรือนั่งร้าน
ข้อควรรู้ก่อนการตัดสินใจซื้อ
1.การป้องกันสนิม
เนื่องจากเหล็กกล่องดำมีการเคลือบน้ำมันไว้เท่านั้น หากต้องการใช้งานในสภาพแวดล้อมที่มีความชื้นสูงหรือกลางแจ้ง จำเป็นต้องทาสีรองพื้นกันสนิมคุณภาพสูง ก่อนการทาสีจริง
2.การเลือกขนาด
ควรปรึกษาวิศวกรเพื่อคำนวณความหนาและขนาดของเหล็กกล่องให้เหมาะสมกับน้ำหนักบรรทุกของโครงสร้างนั้นๆ ห้ามเลือกใช้ขนาดหรือความหนาที่น้อยกว่าที่วิศวกรกำหนด เพื่อความปลอดภัยสูงสุด
หากท่านสนใจเหล็กกล่องดำที่ได้มาตรฐานมอก. และเหล็กอื่นๆ ติดต่อเราได้ที่ @metalmate
ในงานระบบประปาหรืองานระบบท่อในอาคาร ไม่ว่าคุณจะเป็นผู้รับเหมา วิศวกร หรือเจ้าของบ้านที่กำลังรีโนเวท จะต้องเคยเห็น "ท่อเหล็กอาบสังกะสี" ที่มีแถบสีคาดอยู่ ซึ่งสีเหล่านี้ไม่ได้คาดไว้แค่สวยงาม แต่เป็นสิ่งที่บอกถึง ความหนา และ ความสามารถในการรับแรงดันน้ำ ของท่อนั้น ๆ ดังนั้นการเลือกใช้ท่อที่มีความหนาและสีที่เหมาะสมกับงาน จึงเป็นสิ่งสำคัญที่ทำให้ระบบท่อของคุณมีอายุยืนยาว ไม่รั่วซึม และเป็นไปตามมาตรฐานการก่อสร้าง
ท่อเหล็กอาบสังกะสีคืออะไร?
ท่อเหล็กอาบสังกะสี (Galvanized Pipe) คือท่อดำที่ถูกนำไปชุบด้วยสังกะสี เพื่อป้องกันการกัดกร่อนและการเกิดสนิม ยังมีชื่อเรียกอื่นว่าแป๊บประปาหรือแป๊บน้ำ ซึ่งท่อประเภทนี้ได้รับความนิยมในการวางระบบท่อประปามาก เนื่องจากมีความแข็งแรง ทนทานต่อแรงกระแทกและราคาไม่สูงนัก ตามมาตรฐานอุตสาหกรรม มอก. 277-2532 จะถูกแบ่งเกรดความหนาออกเป็น 3 ระดับ โดยระบุด้วยแถบสี 3 สี
1.ท่อประปาคาดเหลือง (BS-S )
เป็นท่อเหล็กที่มีความหนาน้อยที่สุดในบรรดา 3 สี จึงทำให้รับแรงดันได้น้อยที่สุด เหมาะสำหรับงานที่ไม่ต้องรับแรงดันสูงมาก เช่น ท่อระบายน้ำทิ้ง ท่อโสโครก งานท่อที่อยู่เหนือพื้นดิน และงานที่ต้องการความประหยัด สิ่งที่ต้องระวัง คือ ท่อชนิดนี้ไม่เหมาะสำหรับงานเดินท่อเมน (Main Line) หรือจุดที่ต้องรับแรงดันน้ำสูง
2.ท่อประปาคาดน้ำเงิน (BS-M)
มีความหนาปานกลาง เหมาะสมกับการใช้งานทั่วไป แต่รับแรงดันได้ดีกว่าท่อสีเหลือง เป็นท่อที่นิยมใช้มากที่สุด ในงานระบบประปาภายในอาคารและที่พักอาศัยทั่วไป ใช้สำหรับ ท่อน้ำดี (น้ำประปา) ที่เดินลอยหรือฝังในผนังที่ไม่ต้องรับภาระหนักมาก สิ่งที่ควรระวัง คือ หากใช้ในบริเวณที่รับแรงดันสูงมากหรือพื้นที่เสี่ยงต่อการถูกกระแทกอาจต้องพิจารณาใช้ท่อสีแดงแทน
3.ท่อเหล็กประปาคาดแดง (BS-H)
เป็นท่อมีความหนามากที่สุดและแข็งแรงทนทานที่สุด จึงรับแรงดันได้สูงที่สุด ทนทานต่อแรงกระแทกได้ดีเยี่ยม เหมาะสำหรับงานหนักและงานที่ต้องรับแรงดันสูงเป็นพิเศษ เช่น ท่อเมนหลักใต้ดิน ท่อส่งจ่ายน้ำในโรงงานอุตสาหกรรม หรือบริเวณที่โครงสร้างต้องรับแรงสั่นสะเทือน ด้วยคุณสมบัติที่แข็งแกร่งทำให้มีราคาสูงที่สุดแต่แลกมาด้วยความทนทานและความปลอดภัยสูงสุด
ข้อควรรู้เพิ่มเติมก่อนเลือกใช้งาน
1.การฝังในพื้นหรือดิน
หากต้องฝังท่อใต้ดินหรือในพื้นคอนกรีต ควรเลือกใช้ ท่อสีแดง (H) เนื่องจากมีความหนาและแข็งแรงพอที่จะทนต่อแรงกดทับและการกระแทกจากภายนอก
2.งานท่อน้ำดีในบ้าน
สำหรับท่อประปาภายในบ้านส่วนใหญ่ การใช้ท่อสีน้ำเงิน (M) ถือว่าเพียงพอและประหยัดที่สุด
3.การดัดแปลงหรือดัดโค้ง
ท่อประปาคาเสีแดงจะดัดโค้งได้ยากกว่าท่อประปาสีเหลือง ดังนั้นควรคำนึงถึงลักษณะการติดตั้งร่วมด้วย
แม้ว่าในปัจจุบันท่อเหล็กอาบสังกะสียังคงมีการใช้งาน แต่หลายโครงการได้เปลี่ยนไปใช้ ท่อ PVC หรือ ท่อ PPR แทนในงานประปาภายในอาคาร เนื่องจากการติดตั้งที่ง่ายกว่าและปัญหาเรื่องสนิมที่เกิดขึ้นได้น้อยกว่าในระยะยาว
หากท่านสนใจเหล็กท่อประปาที่ได้มาตรฐานมอก. และเหล็กอื่นๆ ติดต่อเราได้ที่ @metalmate
เหล็กคือสัญลักษณ์ของความแข็งแกร่งและเสถียรภาพในโลกก่อสร้าง แต่ในขณะเดียวกันเหล็กก็มี "จุดอ่อน" ที่ไม่อาจมองข้ามได้ นั่นคือ "สนิม" สนิมไม่ใช่แค่คราบสีส้มแดงที่ดูไม่สวยงาม แต่มันคือปฏิกิริยาทางเคมีที่พร้อมจะทำลายโครงสร้างภายในจากแกนกลาง
สนิมคืออะไร?
สนิม (Rust) คือผลผลิตจากปฏิกิริยาทางเคมีที่เรียกว่า "การกัดกร่อน" ซึ่งเกิดจากสามองค์ประกอบสำคัญมาเจอกัน นั่นคือ เหล็กหรือเนื้อโลหะ น้ำหรือความชื้นใน และออกซิเจนในอากาศ เมื่อสามสิ่งนี้รวมตัวกัน เหล็กจะเกิดปฏิกิริยาทางไฟฟ้าเคมีและเปลี่ยนสภาพตัวเองเป็น "เหล็กออกไซด์" หรือที่เราเรียกกันว่า สนิม ที่มีลักษณะเป็นผงเปราะ สีน้ำตาลแดง ซึ่งต่างจากผิวเหล็กเดิมที่เป็นโลหะแข็งแกร่ง
'สีของสนิม' บอกอะไรเราได้บ้าง?
สีของสนิมไม่ได้มีเพียงสีแดงที่เราคุ้นเคยเท่านั้น แต่สีที่ต่างกันบ่งบอกถึงสภาวะแวดล้อมที่เหล็กถูกกัดกร่อน
|
สีสนิม |
สภาพแวดล้อมการเกิด |
ความหมาย |
|
แดง |
พบได้ทั่วไปในสภาพอากาศเปิด มีความชื้นและออกซิเจนสูง |
เป็นสนิมที่พบเห็นบ่อยที่สุด บ่ง |
|
เหลือง |
มักเกิดในบริเวณที่มีความชื้น หรือน้ำขังอยู่ตลอดเวลา |
พบได้ในพื้นที่เปียกชื้น |
|
น้ำตาล |
เกิดเมื่อเหล็กสัมผัสกับออกซิเจน สูงแต่มีความชื้นต่ำ |
มักเกิดร่วมกับสนิมแดง |
|
ดำ |
มักเกิดในที่ซึ่งมีออกซิเจนน้อย เช่น ใต้น้ำ หรือภายในดินที่อับอากาศ |
มักพบในสถานที่ที่ถูกฝัง ไม่มีอากาศถ่ายเท |
ผลกระทบของสนิมต่อโครงสร้าง
1.การทำลายคอนกรีต
เมื่อเหล็กเสริมคอนกรีตเกิดสนิม มันจะขยายตัวและมีปริมาตรเพิ่มขึ้นถึง 2 ถึง 4 เท่า! การขยายตัวนี้สร้าง แรงดันมหาศาล จากภายใน ทำให้คอนกรีตที่หุ้มเหล็กอยู่ต้องแตกออก ช่องว่างที่เปิดออกทำให้ น้ำและความชื้น เข้าถึงเหล็กได้ง่ายขึ้น ปฏิกิริยาการเกิดสนิมจึงเร่งตัวเร็วขึ้นอย่างมาก และสร้างความเสียหายมากขึ้นเรื่อย ๆ
2. สูญเสียกำลังรับน้ำหนัก
สนิมคือเนื้อเหล็กที่ผุกร่อนหายไป ทำให้พื้นที่หน้าตัดของเหล็กเส้นลดลง เมื่อเหล็กเล็กลง ความสามารถในการรับแรงดึงและรับแรงเฉือนก็ลดลงอย่างมาก ส่งผลให้โครงสร้างขาดความมั่นคงและอาจนำไปสู่ความเสียหายอย่างรุนแรงจนอาจถึงขั้นพังถล่ม โดยเฉพาะอย่างยิ่งในโครงสร้างที่ต้องรับน้ำหนักสูง
แนวทางป้องกันสนิมเหล็กอย่างมีประสิทธิภาพ
1. การออกแบบและการก่อสร้างที่ถูกต้อง
2. การใช้สารป้องกันและการเคลือบ
3. การจัดการหน้างาน
ในฐานะบริษัทผู้จำหน่ายเหล็กเส้นและเหล็กรูปพรรณ เราทราบดีว่า "คุณภาพ" ของเนื้อเหล็กคือหัวใจสำคัญของทุกโครงการก่อสร้าง แต่คุณเคยสงสัยหรือไม่ว่าเหล็กที่เราใช้กันอยู่ถูกผลิตขึ้นมาอย่างไร?
ในอุตสาหกรรมเหล็กไทย เรามักได้ยินคำว่า "เหล็ก IF" และ "เหล็ก EF" ซึ่งหมายถึงกระบวนการหลอมเหล็กที่แตกต่างกัน บทความนี้จะพาทุกท่านไปทำความเข้าใจความแตกต่างของสองกระบวนการนี้ และเหตุผลว่าทำไมวิธีการผลิตจึงส่งผลกระทบต่อความแข็งแรงและความปลอดภัยของโครงสร้างที่คุณกำลังสร้าง
1. ทำความเข้าใจ 'กระบวนการหลอมเหล็ก'
การผลิตเหล็กโครงสร้างหลัก ๆ นั้น มักจะเริ่มจากการนำเศษเหล็กมาหลอมใหม่ ซึ่งกระบวนการหลอมนี้เองที่เป็นที่มาของคำว่า IF และ EF
เหล็กที่ผลิตจากเตาหลอมเหนี่ยวนำไฟฟ้า (IF: Induction Furnace)
เตาหลอม IF ใช้หลักการเหนี่ยวนำคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้า เพื่อสร้างความร้อนและหลอมเศษเหล็กให้กลายเป็นน้ำเหล็ก วิธีนี้เป็นที่นิยมเนื่องจากมีขนาดเล็กกว่า ใช้เวลาในการหลอมเร็วกว่าและมีต้นทุนการผลิตเริ่มต้นที่ต่ำ
จุดเด่น : รวดเร็ว, ประหยัดพลังงานในบางแง่มุม, เหมาะสำหรับโรงงานขนาดกลางถึงเล็ก
เหล็กที่ผลิตจากเตาหลอมไฟฟ้า (EF: Electric Arc Furnace)
เตาหลอม EF ใช้การปล่อยกระแสไฟฟ้าแรงสูง (Electric Arc) ระหว่างขั้วไฟฟ้า (Electrode) กับเศษเหล็ก ทำให้เกิดความร้อนสูงมากจนหลอมเหล็ก วิธีนี้เป็นกระบวนการมาตรฐานที่ใช้ในโรงงานเหล็กขนาดใหญ่และมีความทันสมัย
จุดเด่น : สามารถควบคุมอุณหภูมิได้แม่นยำสูง, รองรับการหลอมเหล็กในปริมาณมาก, และที่สำคัญที่สุดคือสามารถทำกระบวนการกลั่นเนื้อเหล็กขั้นที่สองได้
2. เจาะลึกความแตกต่าง
ความแตกต่างที่แท้จริงระหว่างเหล็ก IF และ EF ไม่ได้อยู่แค่ "วิธีการหลอม" เท่านั้น แต่คือ "โอกาสในการควบคุมคุณภาพเนื้อเหล็ก" ลองดูตารางด้านล่างเพื่อให้เข้าคุณภาพของเหล็ก IF และ EF มากขึ้น
| คุณสมบัติ | เตาหลอมเหนี่ยวนำไฟฟ้า (IF) |
เตาหลอมไฟฟ้า (EF) |
|
การควบคุมสิ่งเจือปน |
ทำได้จำกัดและไม่ทั่วถึง | ทำได้ดีมากและแม่นยำสูง |
| ความสม่ำเสมอของเนื้อเหล็ก | เนื้อเหล็กอาจมีความแข็งแรงไม่เท่ากันตลอดทั้งเส้น | เนื้อเหล็กมีความแข็งแรงและคุณสมบัติคงที่ |
| การกลั่นเนื้อเหล็ก | ไม่มีการกลั่นซ้ำ ต้องใช้งานตามที่หลอมได้ทันที | มีขั้นตอนการกลั่นซ้ำ (LRF) ทำให้เหล็ก 'บริสุทธิ์' ยิ่งขึ้น |
| ความมั่นใจในคุณภาพ | ขึ้นอยู่กับคุณภาพเศษเหล็กที่นำมาหลอมเป็นหลัก |
ควบคุมคุณภาพได้สูงและสม่ำเสมอ มั่นใจว่าผ่าน มอก. |
LRF (Ladle Refining Furnace) คืออะไร?
เตาหลอม EF นั้น มักจะมีขั้นตอนเพิ่มเติมที่เรียกว่า "การกลั่นในทัพพีหลอม" (LRF) ซึ่งเป็นขั้นตอนสำคัญที่เตา IF ไม่สามารถทำได้ LRF ช่วยให้วิศวกรสามารถ
สรุปง่ายๆกระบวนการ EF ที่มี LRF เข้ามาเสริม จึงเป็นวิธีการที่ทำให้ได้ "เหล็กที่มีความบริสุทธิ์สูง" และมีคุณสมบัติทางกลที่สม่ำเสมอและเชื่อถือได้มากกว่า
3.เลือกอย่างไรให้ปลอดภัย
สำหรับผู้ซื้อและผู้ใช้งาน การทราบความแตกต่างนี้สำคัญอย่างยิ่งเพราะมันหมายถึงความปลอดภัยของโครงสร้าง
เหล็กที่ได้มาตรฐานผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรม (มอก.) หมายถึงเหล็กที่มีความแข็งแรงและคุณสมบัติทางเคมีตามที่กฎหมายกำหนด กระบวนการ EF ที่มี LRF นั้น มีความสามารถในการควบคุมคุณภาพให้ผ่านเกณฑ์ มอก. ได้อย่างสม่ำเสมอและมั่นใจกว่า
เหล็กที่ไม่ได้คุณภาพอาจมีสิ่งเจือปนสูง ซึ่งทำให้เหล็กมีความเปราะ เมื่อนำไปใช้งานในโครงสร้างที่ต้องรับแรงแผ่นดินไหวหรือรับน้ำหนักสูง อาจเกิดการแตกหักอย่างกะทันหันได้
แม้ว่าเหล็กที่มาจากกระบวนการที่ควบคุมคุณภาพได้ดีอาจมีราคาสูงกว่าเล็กน้อย แต่ความมั่นใจในความแข็งแรงและอายุการใช้งานที่ยาวนาน คือการลงทุนที่คุ้มค่าที่สุดสำหรับความปลอดภัยในระยะยาวค่ะ
คุณอาจไม่เคยสังเกตเห็นว่าทุกโครงสร้างคอนกรีตไม่ว่าจะเป็นบ้านพักอาศัย อาคารสูง ถนน หรือสะพาน ล้วนมีเหล็กเส้นซ่อนอยู่ภายใน บทความนี้จะอธิบายให้เข้าใจง่าย ๆ ว่าทำไมเหล็กเส้นถึงจำเป็นและมีประเด็นอะไรที่คุณควรรู้บ้างค่ะ
ทำไมคอนกรีตต้องมี 'เหล็กเส้น' ?
หัวใจของเรื่องนี้อยู่ที่คุณสมบัติที่แตกต่างกันของวัสดุ 2 ชนิด คือ คอนกรีต และ เหล็ก
|
คุณสมบัติ |
คอนกรีต | เหล็กเส้น |
| แรงที่รับได้ดี | รับแรงกดได้ดีมาก | รับแรงดึงได้ดีมาก |
| แรงที่รับได้ไม่ดี | รับแรงดึงได้น้อยมาก |
รับแรงกดได้ปานกลาง |
เมื่อนำมาใช้ร่วมกันเป็น คอนกรีตเสริมเหล็ก จะเกิดการทำงานร่วมกันที่สมบูรณ์แบบ นั่นคือ คอนกรีตจะทำหน้าที่รับน้ำหนักในส่วนที่เกิด "แรงกด" ส่วน เหล็กเส้นที่ฝังอยู่ภายในจะทำหน้าที่รับมือกับ "แรงดึง" ที่เกิดขึ้นจากการโค้งงอหรือการบิดตัว ทำให้โครงสร้างมีความแข็งแรงและยืดหยุ่นทนทานต่อการใช้งานและภัยพิบัติต่าง ๆ
วัสดุที่นำมาใช้เป็นเหล็กเสริมคอนกรีต
เหล็กเสริมคอนกรีตที่ใช้ในงานก่อสร้างขนาดเล็กทั่วไปที่ควรรู้จักนั้นมี
1. เหล็กเส้นกลม (Round Bar: RB)
ลักษณะ: ผิวเรียบเกลี้ยง
การใช้งาน: เหมาะสำหรับงานที่ไม่ต้องรับน้ำหนักมากนัก เช่น งานปลอกเสา, ปลอกคาน, หรือเหล็กเสริมในงานพื้นทั่ว ๆ ไป
2. เหล็กข้ออ้อย (Deformed Bar: DB)
ลักษณะ: มีลักษณะเป็นบั้งหรือเป็นร่อง (ข้ออ้อย) ตลอดความยาว
การใช้งาน: เป็นที่นิยมและสำคัญที่สุดสำหรับงานโครงสร้างหลักที่ต้องรับน้ำหนักสูงและมีความซับซ้อน เช่น เสา คาน ฐานราก และผนังรับน้ำหนัก
3.เหล็กไวร์เมช (Wire Mesh)
ลักษณะ: เป็นตะแกรงเหล็กสำเร็จรูปที่นำลวดเหล็กมาเชื่อมติดกันเป็นตารางสี่เหลี่ยม หรือที่เรียกกันว่า "ตะแกรงเหล็ก"
การใช้งาน: นิยมใช้ในงานพื้นที่มีพื้นที่กว้าง ๆ และไม่หนามาก เช่น ถนนคอนกรีต พื้นโรงงาน หรือพื้นสำเร็จรูป (Slab) ช่วยให้การวางเหล็กทำได้รวดเร็ว ประหยัดเวลา และช่วยในการรับแรงดึงที่เกิดจากการหดตัว (Shrinkage) และการรับน้ำหนักเบา ๆ ได้ดี นอกจากนี้ก็ยังมีเหล็กปลอกและตะแกรงกั้นจ๊อย ที่สามารถพบเห็นได้ในงานคอนกรีต
สรุปแล้วเหล็กเสริมคอนกรีตมีความสำคัญที่เป็นเสมือนแกนหรือกระดูกสันหลังของโครงสร้าง หากไม่มีเหล็กเสริมโครงสร้างคอนกรีตจะเปราะบางและแตกหักทันทีเมื่อถูกดึงหรือเฉือน และที่สำคัญกว่าคือการเลือกใช้เหล็กเสริมคอนกรีตที่มีคุณภาพ ได้มาตรฐาน มอก. และถูกต้องตามข้อกำหนดของวิศวกร
หากคุณกำลังมองหาเหล็กเสริมคอนกรีตคุณภาพสูงสำหรับโครงการก่อสร้างของคุณ หรือต้องการคำแนะนำในการเลือกใช้เหล็กให้เหมาะสมกับงานประเภทต่างๆ Metalmate เรายินดีให้คำปรึกษาเสมอ
ในยุคที่เศรษฐกิจโลกผันผวนและเต็มไปด้วยความตึงเครียดทางภูมิรัฐศาสตร์อุตสาหกรรม "เหล็ก" ซึ่งเป็นรากฐานสำคัญของการพัฒนาทุกสิ่ง ตั้งแต่ตึกสูง ถนน ไปจนถึงรถยนต์ ก็กำลังเผชิญหน้ากับความท้าทายครั้งใหญ่ แต่ท่ามกลางวิกฤตนี้ ประเทศไทยกลับฉายแสงเป็น 'พรมแดนใหม่ของการลงทุน' ที่นักลงทุนทั่วโลกให้ความสนใจ นี่คือบทสรุปจากคุณฮิเดกิ โอกาวะ กรรมการผู้จัดการ บริษัท เอ็นเอส-สยามยูไนเต็ดสตีล (ในเครือนิปปอนสตีลจากญี่ปุ่น) ในงาน " THE STANDARD ECONOMIC FORUM 2025 เวที Steel in Next Frontier: Resilient Supply Chains ปฏิวัติอุตสาหกรรมเหล็กสู่อุตสาหกรรมแนวหน้า " ที่เผยถึงจุดแข็งเชิงโครงสร้างของไทยที่เหนือกว่าหลายประเทศในภูมิภาค
ภาวะตลาดเหล็กโลก จีนผลิตล้น > ไทยโดนกระแทก
ทำความเข้าใจภาพรวมกันก่อน
สองจุดแข็งเชิงโครงสร้างของไทยที่ทำให้เรายืนหยัดได้
คุณฮิเดกิ โอกาวะ ชี้ว่าประเทศไทยมี 'ข้อได้เปรียบ' ที่เป็นเอกลักษณ์และหาได้ยากในสถานการณ์ปัจจุบัน คือ
1. ห่วงโซ่อุปทานแข็งแรงและต่อยอดง่าย
ประเทศไทยมีเครือข่ายโรงงานและซัพพลายเชน (Supply Chain) หรือก็คือ "ระบบการผลิตและจัดส่งสินค้าครบวงจร" ที่เชื่อมโยงและมั่นคงมายาวนาน โดยปกติไทยมีการนำเข้าวัตถุดิบและสินค้าขั้นกลางถึง 42% ถ้าไทยสามารถผลิตชิ้นส่วนเหล่านี้ได้เองภายในประเทศ จะช่วยลดการพึ่งพาต่างประเทศ, ประหยัดต้นทุน, และเป็นเครื่องยนต์สำคัญในการขับเคลื่อน GDP ให้เติบโตอย่างยั่งยืน
2. จุดยืนทางภูมิรัฐศาสตร์ที่เป็นกลาง
ในยุคที่โลกแบ่งขั้วอำนาจและเกิดความตึงเครียด ไทยยังคงสามารถรักษาความสัมพันธ์อันดีกับทุกฝ่ายได้อย่างสมดุล ความเป็นกลางนี้จึงเป็นแต้มต่อที่สำคัญ และเมื่อนักลงทุนไม่ว่าจะเป็นจากซีกโลกตะวันตกหรือเอเชียตะวันออกต่างมองหา 'ฐานการผลิตที่ปลอดภัยและน่าเชื่อถือ' ประเทศไทยจึงกลายเป็น "จุดหมายปลอดภัย" ที่พวกเขาเข้ามาลงทุนได้อย่างสบายใจ ไม่ต้องกังวลเรื่องความขัดแย้งระหว่างประเทศ
นอกจากนี้คุณฮิเดกิยังเปรียบเทียบไว้อย่างน่าสนใจว่า การรักษาอุตสาหกรรมเหล็กภายในประเทศให้แข็งแรงก็เหมือนการมี 'เครื่องกันกระแทกเศรษฐกิจ'
ดังนั้นการมีอุตสาหกรรมเหล็กที่เข้มแข็งในประเทศ ไม่ได้เป็นเพียงเรื่องของธุรกิจเท่านั้น แต่คือความมั่นคงทางเศรษฐกิจที่ช่วยให้ไทยสามารถยืนอยู่ได้ในทุกสภาพตลาด ไม่ว่าจะเกิดวิกฤตราคาตกต่ำหรือวิกฤตขาดแคลนสินค้า คุณฮิเดกิ โอกาวะ ยังเน้นย้ำอีกว่า การสร้างอุตสาหกรรมเหล็กให้ยั่งยืน ต้องอาศัยความร่วมมืออันแนบแน่นระหว่างภาครัฐและเอกชน เพื่อทำให้ระบบซัพพลายเชนของไทยแข็งแกร่งพอที่จะรับมือกับทุกความผันผวนจากภายนอก
ขอบคุณข้อมูลจาก : THE STANDARD (12/11/2568)
สร้างบัญชีสำหรับเช็คราคาและสั่งซื้อเหล็ก