เหล็กเส้นกลม
เป็นเหล็กที่มีหน้าตัดเป็นวงกลม มีทั้งแบบเส้นตรงและแบบพับ ผิวเรียบตลอดทั้งเส้น ความยาวมาตรฐาน 10 และ 12 เมตร นิยมใช้ในงานก่อสร้างทั่วไป ทำปลอกเสา ปลอกคาน และใช้เป็นเหล็กเสริมในงานคอนกรีต

รายการสินค้า




เหล็กเส้นกลม RB 6 มม.

พับ ยาว 10 ม.
หนัก 2.22 กก.



ตรง ยาว 10 ม.
หนัก 2.22 กก.



เหล็กเส้นกลม RB 9 มม.

พับ ยาว 10 ม.
หนัก 4.99 กก.



ตรง ยาว 10 ม.
หนัก 4.99 กก.



เหล็กเส้นกลม RB 12 มม.

พับ ยาว 10 ม.
หนัก 8.88 กก.



ตรง ยาว 10 ม.
หนัก 8.88 กก.



เหล็กเส้นกลม RB 15 มม.

พับ ยาว 10 ม.
หนัก 13.87 กก.



ตรง ยาว 10 ม.
หนัก 13.87 กก.



เหล็กเส้นกลม RB 19 มม.

พับ ยาว 10 ม.
หนัก 22.26 กก.



ตรง ยาว 10 ม.
หนัก 22.26 กก.



เหล็กเส้นกลม RB 25 มม.

พับ ยาว 10 ม.
หนัก 38.53 กก.



ตรง ยาว 10 ม.
หนัก 38.53 กก.





รายละเอียดสินค้า

เหล็กเส้นกลม (Round Bar) บางครั้งเรียก RB, เหล็กก่อสร้าง, เหล็กเสริมคอนกรีต หรือมีคำว่า SR24 ต่อท้าย โดย SR ย่อมากจา Standard Round Bar ส่วน 24 หมายถึง เหล็กต้องมีกำลังจุดคราก (Yield Strength) หรือความต้านทานแรงดึงไม่ต่ำกว่า 24 กก./ตร.ซม. (หรือ 2,400 kgf/cm²) เป็นเหล็กที่นิยมในงานก่อสร้าง  มักจะใช้ร่วมกับคอนกรีตเพื่อเสริมให้โครงสร้างมีความแข็งแรงมากขึ้น เพิ่มการยึดเกาะระหว่างคอนกรีตและเหล็กเพื่อลดการแตกหักหรือร้าว

คุณสมบัติ

  • เหล็กเส้นกลมมีความยืดหยุ่นสูง สามารถตัด เชื่อมและดัดโค้งได้ง่ายกว่าเหล็กข้ออ้อยโดยไม่ต้องใช้เทคนิคพิเศษ อีกทั้งยังทนต่อแรงดึง แรงกด 
  • มีความแข็งแรงปานกลางสำหรับงานโครงสร้างขนาดเล็กถึงกลาง 
  • นิยมใช้เป็นเหล็กเสริมในคอนกรีตเพื่อยึดเหล็กและคอนกรีตไว้ด้วยกันในงานโครงสร้าง

 

คุณภาพ

ที่ Metalmate เรามีเหล็กเส้นกลมที่ผ่านการรับรองตามมาตรฐานอุตสาหกรรม มอก. 20-2559

 

 

ลักษณะการใช้งาน

1.การใช้งานในบ้าน 

  • ใช้ทำโครงประตูบ้าน รั้วหน้าบ้าน 
  • ทำบันไดเหล็กขึ้นบ้าน ขึ้นดาดฟ้า
  • ราวระเบียง ราวบันได เป็นต้น

2.งานก่อสร้าง

  • ใส่ในเสาคอนกรีตเพิ่มความแข็งแรง
  • เสริมแรงในพื้นคอนกรีต เช่น ถนน เพื่อป้องกันการแตกร้าว
  • ใส่ในคอนกรีตฐานราก เพื่อช่วยในการกระจายน้ำหนัก

3.งานอื่นๆ

  • ทำเครื่องเล่นเด็กในสวนสาธารณะ
  • ทำเฟอร์นิเจอร์เก้าอี้เหล็ก เตียงเหล็ก เป็นต้น

 

Metalmate เพื่อนคู่คิดทุกงานเหล็ก

สั่งเหล็กกับเราได้ง่ายๆ เพียงแค่เลือกสินค้าใส่ตะกร้า และกรอกข้อมูลให้ครบถ้วน

จากนั้นกด "ขอใบเสนอราคา" หรือติดต่อผ่าน Line @metalmate 

สินค้าที่เกี่ยวข้อง

No data was found

บทความที่เกี่ยวข้อง

มาตรฐานของเหล็กทั้งไทยและสากลมีอะไรบ้าง

     ในอุตสาหกรรมเหล็ก การกำหนดมาตรฐานเป็นสิ่งสำคัญอย่างยิ่งเพื่อให้มั่นใจว่าผลิตภัณฑ์มีคุณภาพเหมาะสม ซึ่งมาตรฐานเหล่านี้ทำหน้าที่เป็นแนวทางในการผลิต ควบคุมคุณภาพ และช่วยให้ผู้ใช้งานสามารถเลือกเหล็กที่เหมาะสมกับประเภทงานได้ถูกต้อง มาตรฐานเหล็กที่สำคัญมีอะไรบ้างนั้นไปทำความรู้จักกันเลย

AISI (American Iron and Steel Institute): เป็นมาตรฐานของสหรัฐอเมริกาที่ใช้รหัสตัวอักษรและตัวเลข 4 หลักร่วมกัน เช่น AISI A4320 โดยตัวอักษรตัวแรก(A)จะบอกวิธีการผลิต เช่น

    • A: เหล็กประสมที่ผลิตจากเตาเบสเซมเมอร์ชนิดที่เป็นด่าง
    • C: เหล็กที่ผลิตจากเตาโอเพนฮาร์ทชนิดที่เป็นด่าง
    • E: เหล็กที่ผลิตจากเตาไฟฟ้า

ASTM (American Society for Testing and Material): เป็นมาตรฐานที่ได้รับความนิยมในอุตสาหกรรม ตัวอย่างระบบ เช่น ASTM A615 M-14 ซึ่งแต่ละส่วนมีความหมายดังนี้

    • A: บ่งบอกว่าเป็นโลหะเหล็ก
    • 615: ประเภทของเหล็ก
    • M: แสดงหน่วยการวัดแบบ SI (ระบบเมตริก)
    • 14: คือปีที่ข้อกำหนดมาตรฐานฉบับนั้นถูกประกาศ

JIS (Japanese Industrial Standards): เป็นมาตรฐานเหล็กของประเทศญี่ปุ่นที่ทั่วโลกให้การยอมรับ เนื่องจากญี่ปุ่นเป็นผู้นำด้านเทคโนโลยีการผลิตเหล็ก ทำให้ผลิตภัณฑ์เหล็กที่ได้มาตรฐาน JIS เป็นที่ต้องการในตลาดสากลอย่างมาก

 

DIN (Deutsch Institute Norms): เป็นมาตรฐานเหล็กจากประเทศเยอรมนีที่มีความเข้มงวดและได้รับความนิยมไม่แพ้มาตรฐานของอเมริกา มาตรฐาน DIN แบ่งประเภทของเหล็กออกเป็น 6 กลุ่มหลัก ได้แก่ เหล็กกล้าคาร์บอน (หรือเหล็กไม่ประสม), เหล็กกล้าผสมต่ำ, เหล็กกล้าผสมสูง, เหล็กหล่อ และอื่น ๆ ซึ่งเหล็กเหล่านี้ถูกนำไปใช้ในอุตสาหกรรมต่าง ๆ มากมาย เช่นเดียวกับเหล็กเกรด SS400 ในประเทศไทย

 

TIS (Thai Industrial Standards): หรือ มาตรฐานผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรม (มอก.)ของไทย โดยสำนักงานมาตรฐานผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรม (สมอ.) กำหนดไว้เพื่อเป็นแนวทางให้ผู้ผลิตในประเทศไทยผลิตสินค้าที่มีคุณภาพเหมาะสมกับการใช้งาน คู่มือ มอก. แต่ละเล่มจะระบุรายละเอียด คุณสมบัติ และวิธีการทดสอบไว้ เพื่อให้มั่นใจว่าสินค้าที่ได้รับเครื่องหมาย มอก. มีคุณภาพตามที่กำหนด

     ดังนั้น ไม่ว่าจะเป็นผู้ผลิต ผู้รับเหมา หรือเจ้าของโครงการ การทำความเข้าใจและให้ความสำคัญกับมาตรฐานเหล็กจึงเป็นสิ่งที่ไม่ควรมองข้าม เพราะท้ายที่สุดแล้ว การเลือกใช้วัสดุที่ได้มาตรฐานคือการสร้างความมั่นคงและความปลอดภัยให้กับชีวิตและทรัพย์สินอย่างยั่งยืน 👌

เจาะลึก เหล็กเต็ม vs เหล็กเบา

ในยุคที่อุตสาหกรรมก่อสร้างเติบโตอย่างรวดเร็ว เหล็กเส้น หรือ เหล็กเสริมคอนกรีต กลายเป็นวัสดุสำคัญที่ขาดไม่ได้ อย่างไรก็ตาม ความต้องการที่สูงขึ้นก็เปิดช่องให้เกิดปัญหา "เหล็กเบา" ที่ไม่ได้มาตรฐาน ซึ่งเป็นภัยเงียบที่ส่งผลกระทบโดยตรงต่อความแข็งแรงและความปลอดภัยของโครงสร้าง

เหล็กเต็มคืออะไร? ⁉️

เหล็กเต็ม คือ เหล็กที่ผลิตและผ่านการตรวจสอบตามมาตรฐานที่กำหนดโดย สำนักงานมาตรฐานผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรม (สมอ.) หรือที่เรียกว่า "มาตรฐาน มอก." มาตรฐานนี้ครอบคลุมรายละเอียดสำคัญต่าง ๆ เช่น น้ำหนัก ขนาด ความหนา ความยาว และส่วนผสมทางเคมี ที่ต้องมีความแม่นยำสูง เหล็กเต็มจึงเป็นเหล็กที่มีคุณภาพสูง แข็งแรง ทนทาน และสามารถรับน้ำหนักได้ตามที่วิศวกรออกแบบไว้ เหมาะสำหรับใช้เป็นโครงสร้างหลักของอาคารบ้านเรือน

ทำไมเหล็กเบาถึงยังคงมีอยู่ในตลาด 🤔

เหล็กปลอมหรือเหล็กเบา คือ เหล็กที่ผลิตโดยไม่ได้ควบคุมคุณภาพตามมาตรฐาน มอก. ทำให้มีขนาดและน้ำหนักเบากว่าเหล็กเต็ม และมีความแข็งแรงต่ำกว่ามาก บางครั้งอาจมีการปลอมแปลงเครื่องหมายมอก. เพื่อหลอกลวงผู้บริโภค สาเหตุหลักที่เหล็กเหล่านี้ยังคงมีอยู่ในตลาดก็คือ ต้นทุนที่ต่ำกว่า ทำให้ผู้ผลิตบางรายเลือกที่จะลดขั้นตอนการผลิตเพื่อลดค่าใช้จ่าย และผู้บริโภคบางส่วนที่เน้นเรื่องราคาเป็นหลักอาจตกเป็นเหยื่อโดยไม่รู้ตัว

อันตรายที่อาจเกิดขึ้นจากการใช้เหล็กเบา 🚨

แม้เหล็กเบาจะดูคล้ายกับเหล็กคุณภาพดี แต่ความแตกต่างด้านความแข็งแรงสามารถนำไปสู่อันตรายร้ายแรงได้ เช่น

  • อาจเกิดการแตกร้าวหรือพังถล่มได้ในระยะยาว
  • โครงสร้างไม่ทนทานเท่าที่ควร ทำให้ต้องซ่อมแซมบ่อยครั้ง
  • เพิ่มความเสี่ยงต่อชีวิตและทรัพย์สิน

 

แล้วเราสามารถตรวจสอบเหล็กเบื้องต้นได้ด้วยตัวเองหรือไม่ ?

     การเลือกใช้เหล็กที่ได้มาตรฐานตั้งแต่เริ่มต้นจะช่วยลดความเสี่ยงได้มาก โดยสามารถตรวจสอบเบื้องต้นได้ง่ายๆ  3 วิธีดังนี้

1.สังเกตเครื่องหมาย มอก. และเอกสารรับรอง

  • ดูจากใบกำกับเหล็ก: ใบกำกับเหล็กจะระบุรายละเอียดครบถ้วน ทั้งเครื่องหมาย มอก., ขนาด, ชนิด และน้ำหนัก
  • ตรวจสอบจากเนื้อเหล็ก: เหล็กเต็มจะมีเครื่องหมาย มอก. ชื่อแบรนด์ และรหัสประจำสินค้าประทับอยู่บนผิวเหล็กอย่างคมชัดตลอดความยาว
  • ข้อควรจำ: เหล็กโครงสร้างสำหรับงานก่อสร้างบ้านต้องเป็นไปตาม มาตรฐาน มอก. 107-2561 ซึ่งเป็นมาตรฐานสำหรับท่อเหล็กกล้าคาร์บอนเพื่อโครงสร้างทั่วไป

2.ตรวจสอบขนาดและรูปร่าง

  • ผิวเรียบเนียน: ผิวของเหล็กต้องเรียบเนียนตลอดทั้งเส้น หน้าตัดไม่บิดเบี้ยว ไม่มีลูกคลื่น หรือรูตำหนิ
  • ขนาดเส้นผ่านศูนย์กลางที่ถูกต้อง: เหล็กเส้นเต็มจะมีขนาดมาตรฐานที่แน่นอน เช่น เหล็กเส้นกลมขนาด 6 มม., 9 มม., 12 มม. หรือเหล็กข้ออ้อยขนาด 10 มม., 12 มม., 16 มม. เป็นต้น

3.ชั่งน้ำหนัก

  • เป็นวิธีที่แม่นยำเพียงตัดเหล็กออกมา 1 เมตร แล้วนำไปชั่งน้ำหนัก
  • นำน้ำหนักที่ได้ไปเทียบกับตารางน้ำหนักมาตรฐานของ มอก. หากน้ำหนักตรงตามเกณฑ์ ก็มั่นใจได้ว่าเป็นเหล็กเต็ม

      ตัวอย่างน้ำหนักมาตรฐานต่อความยาว 1 เมตร:

  • เหล็กเส้นกลม 6 มม. ควรหนักประมาณ 0.222 กก.
  • เหล็กข้ออ้อย 12 มม. ควรหนักประมาณ 0.888 กก.

     ดังนั้นแล้วการเลือกซื้อเหล็กจากผู้จัดจำหน่ายที่น่าเชื่อถือและมีใบรับประกันสินค้าคือทางเลือกที่ดีที่สุด เพื่อให้มั่นใจว่าโครงการก่อสร้างของคุณจะแข็งแรง ปลอดภัย และมีคุณภาพในระยะยาว🏡

 

ภัยแทรกซ้อน 'ภาษีเหล็กสหรัฐฯ' ซ้ำเติมวิกฤติตลาดเหล็กไทยที่อ่อนแอ

การประกาศปรับขึ้นภาษีนำเข้าเหล็กของสหรัฐอเมริกาเป็น 50% ภายใต้นโยบายที่เรียกกันว่า "ทรัมป์ 2.0" ได้สร้างแรงสั่นสะเทือนครั้งใหญ่ต่อตลาดเหล็กโลก และส่งผลกระทบต่อเนื่องมาถึงอุตสาหกรรมเหล็กของประเทศไทยอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ แม้ว่าผลกระทบโดยตรงจากการส่งออกเหล็กไทยไปสหรัฐฯ จะมีจำกัด เนื่องจากสัดส่วนมูลค่าที่ไม่สูงนัก แต่ ผลกระทบทางอ้อม กลับมีความสำคัญอย่างยิ่งและเป็นภัยที่ซ้ำเติมวิกฤตการณ์เดิมที่มีอยู่แล้ว

🌊  เหล็กต่างชาติทะลักเข้าไทย หลังถูกสหรัฐฯ ปิดทาง ! 
ผลกระทบที่น่ากังวลที่สุดคือการที่ประเทศคู่ค้าสำคัญของสหรัฐฯ ที่เคยได้รับการยกเว้นภาษี จะต้องเผชิญกับกำแพงภาษีที่สูงขึ้นทำให้ผู้ผลิตเหล็กคุณภาพสูงในเอเชีย เช่น ญี่ปุ่นและเกาหลีใต้ จำเป็นต้องเร่งระบายสินค้าเหล็กส่วนเกิน เข้ามาในตลาดอื่นที่มีการขนส่งสะดวกอย่างประเทศไทย การไหลเข้าของเหล็กคุณภาพเหล่านี้จะเข้ามาแข่งขันโดยตรงกับเหล็กที่ผลิตในประเทศ ซ้ำเติมปัญหาที่ไทยกำลังเผชิญอยู่แล้วจาก เหล็กราคาถูกจากจีน ซึ่งยังคงครองความได้เปรียบด้านต้นทุนและสามารถกดราคาจำหน่ายได้อย่างต่อเนื่อง
การไหลทะลักของเหล็กนำเข้าจากหลายแหล่งนี้จะยิ่งทำให้ อัตราการใช้กำลังการผลิตของโรงงานเหล็กไทยลดต่ำลงไปอีก ซึ่งเป็นสัญญาณวิกฤตที่สะท้อนจากสถิติก่อนหน้าที่ผลผลิตเหล็กไทยลดลงอย่างต่อเนื่องและอัตราการใช้กำลังการผลิตเฉลี่ยเคยลดลงจาก 57% ในปี 2016 มาอยู่ที่ประมาณ 40% ในปัจจุบัน การเพิ่มขึ้นของการนำเข้าจึงเสมือนการบีบให้ผู้ประกอบการไทยต้องเผชิญกับภาวะที่ยากลำบากยิ่งกว่าเดิม

💡 ทางรอดระยะยาว: เพิ่มประสิทธิภาพและผลิตเหล็กมูลค่าสูง
เพื่อความอยู่รอดในระยะยาว ผู้ประกอบการเหล็กไทยต้องเร่งปรับตัวอย่างเป็นระบบ

  1. ค้นหาตลาดใหม่: ในระยะสั้นควรพิจารณาขยายตลาดไปยังภูมิภาคอื่น เช่น ยุโรป ตะวันออกกลาง แอฟริกา และลาตินอเมริกา เพื่อลดการพึ่งพาตลาดสหรัฐฯ
  2. เพิ่มประสิทธิภาพการผลิต: แก้ไขปัญหาเชิงโครงสร้างด้วยการบริหารต้นทุนวัตถุดิบให้ยืดหยุ่น การจัดหาแหล่งวัตถุดิบที่หลากหลาย และการนำเทคโนโลยีใหม่ๆ มาใช้ในกระบวนการผลิต
  3. ยกระดับมูลค่าเพิ่ม: พัฒนาไปสู่การผลิต เหล็กเกรดพิเศษ (High Value-Added) เพื่อป้อนให้กับอุตสาหกรรมที่มีมูลค่าสูง เช่น ยานยนต์ การบิน และการป้องกันประเทศ
  4. มุ่งสู่ Green Steel: พัฒนาและได้รับการรับรองมาตรฐานการผลิต เหล็กสีเขียว (Green Steel) เพื่อตอบสนองความต้องการในห่วงโซ่อุปทานที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม และลดความเสี่ยงจากภาษีคาร์บอนข้ามพรมแดนที่มีแนวโน้มใช้มากขึ้นทั่วโลก

🤝 บทบาทภาครัฐควรสนับสนุนและปกป้องอย่างเร่งด่วน
อุตสาหกรรมเหล็กไทยที่กำลังเปราะบางต้องการการสนับสนุนจากภาครัฐอย่างจริงจัง ภาครัฐควรเน้นมาตรการ 2 ส่วนหลักคือ การเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขัน เช่น การพิจารณาปรับลดค่าไฟฟ้าสำหรับผู้ผลิตเหล็ก การให้แรงจูงใจทางภาษีสำหรับการลงทุนในเทคโนโลยีการผลิตขั้นสูงและการปกป้องอุตสาหกรรม ด้วยการใช้มาตรการตอบโต้การทุ่มตลาด (Anti-dumping), การควบคุมการจัดตั้งโรงงานเหล็กแห่งใหม่ของนักลงทุนต่างชาติอย่างเข้มงวด และการส่งเสริมให้หน่วยงานภาครัฐและเอกชนใช้เหล็กที่ผลิตในประเทศในสัดส่วนที่สูง

ในภาวะที่วิกฤติจากภายนอกถาโถมซ้ำเติมปัญหาภายใน ภาครัฐและเอกชนต้องผนึกกำลังกันเพื่อพลิกวิกฤตินี้ให้เป็นโอกาสในการปรับโครงสร้างอุตสาหกรรมเหล็กไทยให้แข็งแกร่งและยั่งยืนในระยะยาว

ขอบคุณข้อมูลจาก : thestandard (10/10/2568)

เหล็กไทย กับ เหล็กจีน...คุณสมบัติที่ควรรู้

     🔍ในวงการก่อสร้างและอุตสาหกรรม การเลือกใช้ เหล็ก เป็นหนึ่งในปัจจัยสำคัญที่ส่งผลต่อความแข็งแรงทนทานและความปลอดภัยของโครงสร้างในระยะยาว แม้เหล็กจีนบางส่วนจะมีราคาที่ดึงดูดใจ แต่เมื่อพิจารณาในภาพรวมแล้ว เหล็กไทยกลับเป็นตัวเลือกที่เหนือกว่าในหลายด้าน โดยเฉพาะในเรื่องของมาตรฐาน คุณภาพและความคุ้มค่า บทความนี้จะเจาะลึกถึงเหตุผลว่าทำไมเหล็กไทยจึงคุ้มค่ากว่าในระยะยาวเมื่อเทียบกับเหล็กนำเข้าราคาถูกจากจีน

1. มาตรฐานการผลิตที่เข้มงวดและเชื่อถือได้

เหล็กไทย ได้รับการควบคุมคุณภาพอย่างเป็นระบบ โรงงานผู้ผลิตส่วนใหญ่ต้องปฏิบัติตามมาตรฐานผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรม (มอก.) ✅ ซึ่งเป็นมาตรฐานที่บังคับใช้โดยสำนักงานมาตรฐานผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรม (สมอ.) ของประเทศไทย นอกจากนี้ยังมีการนำมาตรฐานสากลอย่าง ISO 9001 ✅ มาใช้เพื่อยกระดับคุณภาพการผลิตให้เทียบเท่าระดับโลก ทำให้เหล็กไทยมีองค์ประกอบทางเคมีและความแข็งแรงทางกลที่สม่ำเสมอ สามารถตรวจสอบได้ และมั่นใจได้ในทุกขั้นตอน ในทางกลับกัน เหล็กจีน โดยเฉพาะสินค้าที่เน้นราคาถูก อาจไม่ได้ผ่านการควบคุมคุณภาพที่เข้มงวดเท่าที่ควร ทำให้คุณภาพของเหล็กในแต่ละล็อตไม่คงที่ อาจมีความแข็งแรงไม่สม่ำเสมอ หรือมีข้อบกพร่องแฝงในเนื้อเหล็ก ซึ่งอาจนำไปสู่ปัญหาโครงสร้างในระยะยาวได้

2. ทนทานและอายุการใช้งานที่ยาวนานกว่า

เหล็กไทยมีชื่อเสียงด้านความแข็งแรง ทนทาน และมีอายุการใช้งานยาวนาน แม้ต้องเผชิญกับสภาพแวดล้อมที่รุนแรง🥴 เช่น ความชื้น หรือสารเคมี จึงเหมาะสำหรับโครงสร้างที่ต้องการความมั่นคงสูง ขณะที่เหล็กจีนราคาถูกอาจมีโอกาสเกิดสนิม การเปลี่ยนรูป หรือแตกร้าวได้ง่ายกว่า ซึ่งจะนำมาซึ่งค่าใช้จ่ายในการซ่อมแซมบำรุงรักษาที่สูงขึ้น และอาจส่งผลกระทบต่อความปลอดภัยโดยรวมของโครงสร้าง

3. ขนาดและน้ำหนักที่ได้มาตรฐาน

เหล็กไทยมีความแม่นยำในเรื่องขนาดและน้ำหนักตามมาตรฐาน มอก. ทำให้วิศวกรและผู้รับเหมาสามารถคำนวณการใช้งานได้อย่างถูกต้องแม่นยำ ส่วนเหล็กจีนราคาถูกบางครั้งอาจมีน้ำหนักเบากว่ามาตรฐานจริง หรือขนาดเส้นผ่านศูนย์กลางเล็กกว่าที่ระบุไว้ ซึ่งส่งผลโดยตรงต่อกำลังรับแรงและความแข็งแรงของโครงสร้างทั้งหมด

4. เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมมากกว่า

อุตสาหกรรมเหล็กไทยให้ความสำคัญกับความยั่งยืนด้านสิ่งแวดล้อม🌿 โดยมีการนำเทคโนโลยีที่ช่วยลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกและใช้พลังงานอย่างมีประสิทธิภาพ อีกทั้งยังส่งเสริมการนำเหล็กมา รีไซเคิล♻️ อย่างเป็นระบบ ขณะที่การผลิตเหล็กในโรงงานบางแห่งของจีนถูกวิพากษ์วิจารณ์เรื่องมลพิษและการใช้พลังงานอย่างสิ้นเปลือง

5. สนับสนุนเศรษฐกิจภายในประเทศ

การเลือกใช้เหล็กที่ผลิตในประเทศเป็นการช่วยขับเคลื่อนเศรษฐกิจไทยโดยตรง ช่วยสร้างงาน สร้างรายได้💸 และพัฒนาทักษะให้กับแรงงานในอุตสาหกรรมนี้ นอกจากนี้ยังช่วยลดการพึ่งพาการนำเข้าจากต่างประเทศ ทำให้ประเทศมีความมั่นคงทางเศรษฐกิจมากขึ้นเมื่อเกิดวิกฤตเศรษฐกิจโลก

     ✅ สรุปแล้วแม้เหล็กจีนราคาถูกอาจช่วยลดต้นทุนในตอนแรก แต่เมื่อพิจารณาถึงความเสี่ยงด้านคุณภาพ ความทนทาน และอายุการใช้งานในระยะยาวแล้ว เหล็กไทยที่ได้มาตรฐาน มอก. และมาตรฐานสากล ถือเป็นการลงทุนที่คุ้มค่ากว่าอย่างแน่นอน เพราะช่วยให้งานก่อสร้างมีความปลอดภัย แข็งแรง และยั่งยืน อีกทั้งยังเป็นการสนับสนุนผู้ผลิตในประเทศไปพร้อมๆ กัน การเลือกใช้เหล็กจึงไม่ควรพิจารณาแค่ราคาหน้างาน แต่ต้องมองถึงความคุ้มค่าและความปลอดภัยของโครงการในภาพรวมด้วยนะทุกคน

แผ่นดินไหวกรุงเทพฯ สะท้อน "ความเสี่ยงเหล็กเส้น" ส.อ.ท. ดันเลิกใช้ "เตา IF"

เนื่องจากเหตุการณ์แผ่นดินไหวในกรุงเทพฯ ที่ทำให้หลายคนรู้สึกได้ถึงแรงสั่นสะเทือน ได้กลายเป็นตัวเร่งสำคัญที่ชี้ให้เห็นถึงความจำเป็นเร่งด่วนในการยกระดับมาตรฐานความปลอดภัยของโครงสร้างอาคารและที่พักอาศัย โดยเฉพาะอย่างยิ่งวัสดุหลักอย่าง "เหล็กเส้น"

สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.) โดยนายบัณฑูรย์ จุ้ยเจริญ ประธานกลุ่มอุตสาหกรรมเหล็ก ได้ออกมาเปิดเผยผลการศึกษาที่น่าตกใจ พร้อมทั้งเสนอให้สำนักงานมาตรฐานผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรม (สมอ.) เร่งทบทวนและแก้ไขมาตรฐานผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรม (มอก.) เหล็กเส้น เพื่อความมั่นคงปลอดภัยของชาติ

เหล็กเส้น "เตา IF" คืออะไร? ทำไมถึงมีความเสี่ยง?

ปัจจุบันตลาดเหล็กเส้นก่อสร้างของไทยมีปริมาณกว่า 3 ล้านตันต่อปี และเหล็กเส้นที่ผลิตจากเตา Induction Furnace (IF) กลับมีสัดส่วนครองตลาดมากกว่าครึ่ง (ประมาณ 1.6 ล้านตัน) เนื่องจากมีราคาถูกกว่า แต่ปัญหาใหญ่ที่ตามมาคือ "คุณภาพที่ไม่สม่ำเสมอ"

ความเสี่ยงของเหล็กจากเตา IF

  1. สารมลทินสูง: เตา IF ไม่มีระบบในการกำจัดสารมลทินสำคัญ เช่น ฟอสฟอรัสและกำมะถันที่มาจากเศษเหล็ก ทำให้ไม่สามารถควบคุมคุณสมบัติทางเคมีของเหล็กได้ดี
  2. เนื้อเหล็กไม่สม่ำเสมอ: ลักษณะการหลอมด้วยไฟฟ้าของเตา IF มีการกวนวนต่ำ ทำให้การควบคุมคุณสมบัติทางกลของเหล็ก เช่น ความเหนียวและความต้านทานแรงดึง (ที่สำคัญมากต่อการรับแรงแผ่นดินไหว) ทำได้ยาก
  3. ขาดการปรุงคุณภาพ: โรงงาน IF ส่วนใหญ่ในไทย ไม่ได้ติดตั้ง "เตาปรุง" (Ladle Furnace: LF) ซึ่งเป็นกระบวนการสำคัญที่ช่วยปรับปรุงคุณภาพน้ำเหล็กให้บริสุทธิ์และขจัดสิ่งเจือปน ทำให้เหล็กไม่ได้คุณภาพตามที่ควรจะเป็น

ถอดบทเรียนราคาแพงจากประเทศจีน: ปิดโรงงาน IF 600 แห่ง!

จีนเคยเป็นผู้ผลิตเหล็กเส้นจากเตา IF รายใหญ่ที่สุดในโลก แต่พบปัญหาเหล็กเส้นคุณภาพต่ำที่เชื่อมโยงกับอุบัติเหตุร้ายแรง เช่น อาคารและสะพานถล่ม รัฐบาลจีนจึงตัดสินใจครั้งใหญ่ในปี 2560

  • สั่งปิดโรงงาน IF กว่า 600 แห่ง คิดเป็นกำลังการผลิตกว่า 120 ล้านตัน
  • ปรับมาตรฐานเหล็กเส้นใหม่ โดยกำหนดให้ต้องผลิตจากเตาที่ได้มาตรฐานสูงกว่าเท่านั้น (BOF หรือ EAF) และต้องมีการปรุงคุณภาพน้ำเหล็กสำหรับเหล็กเกรดต้านแผ่นดินไหว

ที่น่าตกใจคือไทยมีการปรับแก้ มอก. เหล็กเส้นในปี 2559 (เพียง 1 ปีก่อนที่จีนจะยกเลิกเตา IF) โดยยกเลิกข้อกำหนดเดิมที่จำกัดให้ใช้เฉพาะเตา BOF หรือ EAF ออกไป ทำให้เตา IF สามารถเข้ามาผลิตเหล็กเส้นในไทยได้ ซึ่งข้อกำหนดเพิ่มเติมที่ใส่เข้ามาเพื่อควบคุมคุณภาพก็ยังไม่เกิดประสิทธิผลเท่าที่ควร

ส.อ.ท. เสนอ 4 จุดเปลี่ยนสำคัญ เพื่อความปลอดภัยของโครงสร้างไทย

จากบทเรียนความสูญเสียในจีนและความก้าวหน้าของงานก่อสร้างโครงการพื้นฐานขนาดใหญ่ในปัจจุบัน ส.อ.ท. จึงเสนอให้มีการแก้ไข มอก. เหล็กเส้นใน 4 เรื่องสำคัญเพื่อยกระดับมาตรฐานความปลอดภัยในประเทศ

  1. กำหนดวิธีการผลิต: ให้ผลิตจากเตา BOF (Basic Oxygen Furnace) หรือ EAF (Electric Arc Furnace) เท่านั้น และให้เหล็กเกรดต้านแผ่นดินไหวต้องผ่านการปรุงคุณภาพน้ำเหล็ก
  2. ห้ามใช้วิธีเร่งความแข็งแรงแบบ Tempcore: ซึ่งเป็นการชุบแข็งที่อาจส่งผลต่อคุณสมบัติความเหนียวของเหล็ก
  3. ยกระดับการทดสอบ: เพิ่มการทดสอบความทนทานต่อความล้า (Fatigue) จากการสั่นสะเทือนของแผ่นดินไหวที่เข้มงวดขึ้น
  4. เพิ่มความเข้มงวดในการบังคับใช้: สร้างระบบตรวจสอบและลงโทษอย่างจริงจัง เพื่อสกัดกั้นเหล็กด้อยคุณภาพออกจากตลาด

ดังนั้นแล้วการแก้ไข มอก. ในครั้งนี้ไม่ใช่แค่การปรับกฎหมาย แต่เป็นการสร้างหลักประกันด้านความปลอดภัยให้กับทุกสิ่งก่อสร้างของประเทศ นายบัณฑูรย์เน้นย้ำว่าถือเป็นโอกาสสำคัญที่ประเทศไทยจะได้ยกระดับมาตรฐานเหล็กให้ทัดเทียมสากลและป้องกันความเสี่ยงด้านความปลอดภัยในอนาคต 💪

 

ขอบคุณข้อมูลจาก : กรุงเทพธรุกิจ (4/10/2568)

H-Beam, I-Beam, Wide-Flange แฝดสามแห่งวงการเหล็ก

     ในวงการเหล็กจะมีเหล็กอยู่ 3 ชนิดที่หน้าตาภายนอกคล้ายกัน นั่นคือเหล็กเอชบีม ( H-Beam)  ไอบีม (I-Beam) และ ไวด์แฟรงค์ (WF)  แต่ทั้งสามนั้นถูกออกแบบมาเพื่อการใช้งานที่แตกต่างกัน ดังนั้นการเลือกใช้ให้ถูกประเภทคือหัวใจสำคัญที่จะช่วยให้งานก่อสร้างของคุณทั้งแข็งแรงและประหยัดงบประมาณ มาดูกันว่าเหล็กแต่ละชนิดมีความโดดเด่นอย่างไรบ้าง

H-Beam (เอชบีม) : หน้าตัดรูปตัว 'H' มีปีกที่กว้างและหนาเท่ากันตลอดทั้งเส้น มีขนาดความลึกเท่ากับความกว้าง เช่น H 200×200 มีขนาดให้เลือกหลากหลายตั้งแต่เล็กจนใหญ่ ทำให้เป็นตัวเลือกที่ยืดหยุ่นสำหรับงานโครงสร้างทั่วไป เช่น เสาและคานอาคาร โรงงาน หรือโกดัง 

I-Beam (ไอบีม): หน้าตัดรูปตัว 'I' มีลักษณะพิเศษคือปีกจะเรียวที่ปลายและหนาขึ้นที่โคน ทำให้มีความสามารถในการรับแรงจากการเคลื่อนที่ได้ดีเป็นพิเศษ จึงถูกออกแบบมาเพื่อการใช้งานเฉพาะทาง เช่น รางเลื่อนของเครนในโรงงานอุตสาหกรรม

 

Wide-Flange (ไวด์แฟงค์): หน้าตัดรูปตัว 'H' เช่นเดียวกับ H-Beam แต่มีปีกที่กว้างกว่าและมีน้ำหนักเบากว่า I-Beam ทำให้มีราคาถูกกว่า เหมาะสำหรับงานโครงสร้างทั่วไปที่ไม่ต้องรับน้ำหนักสูงมาก และมักใช้ทดแทนโครงสร้างคอนกรีตได้เนื่องจากน้ำหนักเบาและติดตั้งง่าย

ความแตกต่างที่ควรรู้ก่อนเลือกใช้

1. ความแข็งแรงและการใช้งาน

แม้ทั้งสามประเภทจะแข็งแรงทนทาน แต่ก็มีวัตถุประสงค์ต่างกัน H-Beam คือเหล็กมาตรฐานสำหรับงานโครงสร้างทั่วไป ส่วน I-Beam เหมาะสำหรับงานที่ต้องรับแรงเคลื่อนที่โดยเฉพาะ และ Wide-Flange เป็นตัวเลือกสำหรับงานที่ต้องการน้ำหนักเบาและติดตั้งเร็ว

2.น้ำหนักและราคา

ด้วยขนาดหน้าตัดที่เท่ากัน I-Beam จะมีน้ำหนักมากกว่า H-Beam อย่างมาก ส่งผลให้ราคาสูงขึ้นตามไปด้วย การเลือกใช้ I-Beam ผิดประเภทอาจทำให้งบประมาณบานปลายโดยไม่จำเป็น

3.มาตรฐานอุตสาหกรรม

H-Beam และ I-Beam ได้รับมาตรฐาน มอก. 1227-2558 (เหล็กโครงสร้างรูปพรรณรีดร้อน) ส่วน Wide-Flange เป็นหน้าตัดเหล็กตามมาตรฐาน ASTM ของสหรัฐอเมริกา

     ดังนั้นการเลือกใช้เหล็กให้ถูกต้องกับประเภทงานจะช่วยป้องกันความเสียหายที่อาจเกิดขึ้นในอนาคต และยังช่วยควบคุมงบประมาณได้อย่างมีประสิทธิภาพ จำง่ายๆว่าถ้าจะสร้างเสาหรือคานในอาคารทั่วไป H-Beam คือตัวเลือกที่เหมาะสมและคุ้มค่าที่สุด

 

 

 

 

 

เลือกวิธีการจัดส่งสินค้า

สถานที่จัดส่ง
เครนลงสินค้าหน้างาน
หมายเหตุ

ลงทะเบียนใช้งาน

สร้างบัญชีสำหรับเช็คราคาและสั่งซื้อเหล็ก

[tbs_otp_form]

เข้าสู่ระบบ